สมาร์ทโฟน (Smartphone)  |   วันที่ : 24 ตุลาคม 2557

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

"เลือกอะไรดี?" เชื่อว่าประโยคนี้อาจลอยขึ้นมาในหัวของผู้ใช้งานหลายๆ คนที่กำลังจะตัดสินใจเลือกซื้อแฟบเล็ตสักเครื่องจาก 2 รุ่นดังกล่าวมาใช้งานเป็นเครื่องคู่กาย ซึ่งทั้ง Samsung Galaxy Note 4 และ iPhone 6 Plus นั้นต่างมีขนาดหน้าจอที่ใกล้เคียงกันมากและยังมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จึงอาจทำให้ผู้ใช้งานหลายๆ คนยังเกิดความลังเลและยากต่อการตัดสินใจอยู่ ดังนั้นเราจะพาไปทำความรู้จักกับแฟบเล็ตทั้ง 2 รุ่นให้มากขึ้นอีกนิด เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อของแต่ละคน

เริ่มกันที่ด้านของ Design ภายนอก

Samsung Galaxy Note 4 ยังคงมาพร้อมดีไซน์ภายนอกแบบสี่เหลี่ยมโค้งมนเหมือนรุ่นก่อน แต่มีการนำวัสดุอลูมิเนียมขัดเงามาใช้เป็นกรอบของตัวเครื่องในชื่อการออกแบบว่า "Metal Frame" ในขณะขนาดตัวเครื่องนั้นกว้าง 78.6 มิลลิเมตร สูง 153.5 มิลลิเมตร และมีความบางตัวเครื่องอยู่ที่ 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 176 กรัม

iPhone 6 Plus สำหรับ iPhone 6 Plus นั้นถือได้ว่าเป็นแฟบเล็ตรุ่นแรกของบริษัท Apple เลยทีเดียว และยังมาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องแบบโค้งมนคล้าย iPod Touch ในขณะที่ขนาดของตัวเครื่องกว้าง 77.8 มิลลิเมตร สูง 158.1 มิลลิเมตร และมีความบางของตัวเครื่องเพียง 7.1 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 172 กรัม

การใช้งานด้านความบันเทิง

  • ดูหนัง/วีดีโอ/ทีวีออนไลน์ 

สำหรับด้านความบันเทิงในการรับชมสื่อต่างๆ นั้น คงต้องมองไปที่รายละเอียดของเทคโนโลยี, ขนาดและชนิดของหน้าจอทั้ง 2 รุ่นว่าตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากน้อยแค่ไหน

Samsung Galaxy Note 4 : มาพร้อมหน้าจอ Quad HD Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ที่มีเอกลักษณ์ด้านสีสันของภาพที่จัดจ้าน คมชัด ความละเอียดระดับ 2K หรือ 1440 P (~515 PPI)

iPhone 6 Plus : มาพร้อมหน้าจอ Retina HD IPS ขนาด 5.5 นิ้ว มีเอกลักษณ์ที่สีสันของภาพสดใส คมชัด ความละเอียดระดับ FullHD หรือ 1080 P (~401PPI)

  • เล่นเกมส์/ประมวลผลด้านกราฟฟิก

มากันที่ด้านการประมวลกราฟฟิกที่หลายๆ คนค่อนข้างให้ความสำคัญกันบ้าง โดยในด้านนี้คงต้องบอกว่าคงต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแบรนด์ต่างๆ ของผู้ใช้งาน เนื่องจากการประมวลผลด้านนี้มีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ส่งผลต่อการทำงานจริง แต่ในที่นี้เราจะดูกันที่รายละเอียดด้าน CPU/GPU/RAM กัน

Samsung Galaxy Note 4 : ในประเทศไทย Note 4 จะใช้งาน CPU Octa-Core (8) Exynos 5433 แบบ 64 Bit ความเร็ว 1.9 GHz, GPU Mali T760, RAM 3 GB

iPhone 6 Plus : ใช้งาน CPU Dual Core (2) Apple A8 64 Bit (Base on ARM) ความเร็ว 1.4 GHz, GPU PowerVR GX6450, RAM 1 GB และทาง Apple ยังมีการนำชิพตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion) M8 มาใช้งานร่วมกับ A8 ด้วยเช่นกัน

การใช้งานด้านการถ่ายภาพนิ่ง/บันทึกวีดีโอ

มากันที่ด้านที่เชื่อว่าผู้ใช้งานส่วนมากจะมองเป็นปัจจัยต้นๆ ในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนและแฟบเล็ตสักรุ่นอย่างแน่นอน นั้นคือการใช้งานกล้องถ่ายรูปนั้นเอง

Samsung Galaxy Note 4 : มาพร้อมกล้องถ่ายรูปหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพ ISOCELL ที่เพิ่มความสามารถในการรับแสงของรูรับแสงให้ดีขึ้น (f/2.4) ทำให้ภาพมีความสว่างและคมชัดแม้ในที่แสงน้อย และยังสามารถบันทึกภาพวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K รวมทั้งยังมีโหมดการถ่ายภาพที่น่าสนใจ ดังนี้

  • Photo Note : เป็นโหมดถ่ายภาพที่สามารถดึงข้อความหรือตัวอักษรต่างๆ บนภาพ ออกมาใช้งานได้ผ่าน S Note
  • Real HDR : เป็นโหมดถ่ายภาพ HDR แบบอัตโนมัติ ซึ่งตัวกล้องจะทำการปรับแสงให้ตามความเหมาะสมทันทีที่ถ่ายภาพ
  • Smart OIS : เป็นโหมดป้องกันภาพสั่นไหวขณะถ่าย

ในขณะที่กล้องหน้ามาพร้อมความละเอียด 3.7 ล้านพิกเซล (f/1.9) และยังใช้เลนส์กล้องถ่ายรูปแบบ View Angle ให้มุมมองกว้างถึง 90 องศา รวมทั้ง Note 4 ยังมีโหมดถ่ายภาพ Selfie แบบ 120 องศาด้วยทำให้เป็นแฟบเล็ตที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชอบชื่นการถ่ายภาพ Selfie ได้ดีทีเดียว

iPhone 6 Plusมาพร้อมกล้องถ่ายรูปหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพและเลนส์กล้องถ่ายรูป iSight พร้อมทั้งมีการขยายพิกเซลเป็น 1.5 ไมครอน (f/2.2) ทำให้สามารถรับแสงขณะถ่ายภาพได้ดีขึ้นจากรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกภาพวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080P (FHD) และมีการใส่ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) มาให้ด้วยเช่นกัน รวมทั้งยังสามารถถ่ายภาพวีดีโอแบบ Slo-Motion ได้ถึง 240 fps สำหรับโหมดการถ่ายภาพที่น่าสนใจ มีดังนี้

  • Time Lapse : โหมดถ่ายภาพวีดีโอแบบเร่งเวลา
  • Slo-Motion : โหมดถ่ายภาพวีดีโอแบบช้า ได้สูงสุด 240 fps

มาที่กล้องหน้า iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล (f/2.2) รองรับการใช้งานบันทึกวีดีโอ และการใช้งาน Facetime ฟีเจอร์เด่นของทาง Apple ที่ใช้สำหรับการติดต่อกันระหว่าง iDevice ด้วยกันแบบ VDO Call ที่ระดับ 720 P (HD)

ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่อำนวยความสะดวกในการใช้งาน

Samsung Galaxy Note 4 : บน Note 4 ยังมีฟีเจอร์อีกพอสมควรสำหรับช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น  

  • S Note : ฟีเจอร์สำหรับเรียกใช้งานกระดาษโน็ตเพื่อทำการจดด้วยปากกา S Pen
  • Smart Select : ฟีเจอร์สำหรับเลือก Crop ภาพบางส่วนจากหน้าจอ หรือเลือกข้อความที่ต้องการด้วยการกดปุ่มบน S Pen แล้วลากกรอบครอบในส่วนที่ต้องการ
  • Power Ultra Saving Mode : โหมดประหยัดพลังงานสูงสุด โดยจะทำการเปลี่ยนหน้าจอให้เป็นโหมดแสดงผลแบบขาว-ดำ
  • MultiTasking : ฟีเจอร์สำหรับการใช้งานแอพพลิเคชั่นหลายๆ ตัวพร้อมกัน ด้วยการแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วน
  • Fast Charging : ฟีเจอร์ในการชาร์จแบตฯ ให้เร็วขึ้นเพียง 30 นาทีสามารถชาร์จแบตฯ ได้ถึง 50%

iPhone 6 Plus : บน iPhone 6 Plus  เองก็มีฟีเจอร์การใช้งานที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน เช่น

  • Touch ID : ระบบสแกนลายนิ้วมือที่สามารถช่วยป้องกันการบุกรุก, การแอบซื้อแอพพลิเคชั่น หรือการโจรกรรมข้อมูลสำคัญบนเครื่องได้ในระดับนึง
  • Family Shared : ฟีเจอร์สำหรับแบ่งปันแอพพลิเคชั่น, ภาพยนตร์, เพลงต่างๆ ให้กับบุคคลในครอบครัว
  • AirPlay : ฟีเจอร์สั่งการที่สามารถช่วยทำให้รับชมหรือแชร์ข้อมูลต่างๆ ไปยังอุปกรณ์ปลายทางได้โดยไม่ต้องใช้สาย
  • Airdrop : ฟีเจอร์สำหรับแชร์ไฟล์ต่างๆ ในวงแชร์ได้ทันที

สำหรับฟีเจอร์ที่กล่าวถึงทั้งหมดนั้นเป็นเพียงฟีเจอร์เด่นๆ ที่น่าสนใจของทั้ง 2 รุ่นเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายฟีเจอร์ที่ไม่ได้กล่าวถึง แนะนำว่าหากมีโอกาสลองไปสัมผัสและใช้งานด้วยตนเอง น่าจะได้รับคำตอบที่ดีอย่างแน่นอน

ราคาวางจำหน่าย

Apple จะวางจำหน่าย iPhone 6 Plus  ในประเทศไทยในวันที่ 31 ตุลาคม ด้วยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 28,900 บาท สำหรับรุ่น 16 GB

ในส่วนของ Samsung Galaxy Note 4 นั้นทาง Samsung ได้เริ่มวางจำหน่ายไปแล้วในวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมาในราคา 25,900 บาท

สรุป 

Samsung Galaxy Note 4 จากองค์ประกอบต่างๆ รวมถึงฟีเจอร์การทำงานแล้ว Note 4 น่าจะเน้นการตลาดเพื่อมาตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องเน้นการทำงานในด้านที่ต้องมีการจดข้อมูลแบบเร่งด่วน หรือการแก้ไขเอกสารต่างๆ แบบทันที รวมถึงความคล่องตัวในการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้มากที่สุด

ในขณะที่ iPhone 6 Plus นั้น ก็น่าจะเน้นการตลาดเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการความง่ายในการใช้งาน และต้องการเน้นไปที่การใช้งานด้าน Entertain รวมทั้งไม่ได้มีการใช้ทำงานด้านเอกสารหรือข้อมูลต่างๆ บ่อยมากนัก 

หลังจากเทียบข้อมูลเด่นๆ ที่เชื่อว่าเป็นรายละเอียดหลักๆ ที่ผู้ใช้งานหลายๆ คนมักจะนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจแล้ว น่าจะชวนให้ใครหลายคนน่าจะพอมีตัวเลือกอยู่ในใจบ้างแล้ว ว่ารุ่นไหนที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของตัวเราได้มากกว่ากัน อย่างไรก็ดีแฟบเล็ตทั้ง 2 รุ่นนั้นต่างมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน และการลองไปเล่นตัวจริงตาม Shop ต่างๆ น่าจะเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าจะช่วยให้การตัดสินใจได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการเลือกซื้อแฟบเล็ตสักเครื่องมาใช้งานควรเลือกรุ่นที่สามารถตอบโจทย์การทำงานของตัวเราให้มากที่สุด และนั้นก็จะทำให้เราสามารถใช้งานตัวเครื่องได้คุ้มค่ามากที่สุด รวมทั้งยังมีความสุขกับมันอีกด้วย

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

วันที่ : 24 ตุลาคม 2557

มือถือออกใหม่