Google บริษัทผู้เป็นเจ้าของแอนดรอยด์เปิดตัวเวอร์ชั่นพรีวิว (ทดสอบสำหรับนักพัฒนา) รุ่นต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเป็นที่คอนเฟิร์มแล้วว่า Android เวอร์ชั่นต่อไปจะมีตัว N เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ทางกูเกิ้ลยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมาว่าจะใช้ชื่อเรียกเต็มๆ ว่าอะไร ทว่าสิ่งที่เซอร์ไพร์สคือความสามารถของแอนดรอยด์เวอร์ชั่นดังกล่าวมากกว่า เพราะมีลูกเล่นให้ใช้งานเพียบ ว่าแต่จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยครับ...?
1. ฟีเจอร์ Multi-window
โดยฟีเจอร์ดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นที่รอคอยมานานสำหรับเหล่าสาวกแอนดรอยด์เลยทีเดียวเพราะก็จะทำให้เราสามารถแบ่งหน้าจอ เพื่อเปิดแอพพลิเคชั่นได้สองตัวพร้อมกัน ทั้งยังกำหนดขนาดของจอแอพฯ ได้อีกด้วยว่าต้องการให้ขั้นตํ่า (ความสูง) เช่นเดียวกับการปรับความกว้างของจอแสดงผล หรือแม้กระทั่งลากข้อมูลจากแอพฯ หนึ่งข้ามไปยังอีกแอพฯ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้พัฒนาแอพฯ ก็ต้องเขียน Code ให้รองรับการกระทำในลักษณะดังกล่าวด้วย และยืนยันแล้วใช้งานได้ทั้งบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
2. ฟีเจอร์ Direct reply notifications
กล่าวคือผู้ใช้สามารถตอบข้อความได้จาก Notification เลย เป็นลักษณะเดียวกับ API RemoteInput ตัวเดียวกับที่งานใน Android Wear สำหรับฟีเจอร์ดังกล่าวกูเกิ้ลก็มีจุดประสงค์การพัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานให้สามารถตอบกลับข้อความหรืออีเมล์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องเข้าใช้งานแอพฯ แต่อย่างใด และถ้าการแจ้งเตือนเป็นของแอพฯ ใดแอพฯ หนึ่ง มากกว่าหนึ่ง ก็จะถูกจัดเก็บไว้รวมกัน ทำให้ผู้ใช้งานไม่สับสนเวลามีการแจ้งเตือนเข้ามาเยอะจากหลายๆ แอพฯ ทั้งยังสามารถขยายเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ (Bundled notifications)
3. ฟีเจอร์ Quick Settings ปรับโฉมใหม่
ถูกปรับแต่งให้มีความเป็น Card มากขึ้น และผู้ใช้งานจะสามารถเพิ่มการตั้งค่าต่างๆ เข้าไปให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยจากในรูปก็มีอยู่สองหน้า เราสามารถปัดเลื่อนซ้าย-ขวา เพื่อเปลี่ยนหน้าการใช้งาน แน่นอนว่าการมีลูกเล่นดังกล่าว ช่วยให้การใช้งานแอนดรอยด์เพลินไปได้เลย ไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป
4. ฟีเจอร์ Number-blocking และ Call screening
เชื่อว่าหลายคนประสบปัญหากับสายที่ไม่พึงประสงค์กันอยู่ทุกวัน ดังนั้น Google จึงได้พัฒนาฟีเจอร์นี้ขึ้นมาช่วยขจัดปัญหาให้หมดไป โดยจะทำการบล็อกทั้งเบอร์โทรศัพท์และข้อความ และในส่วนของฟีเจอร์ Call screening ก็มีมาเหมือนกัน กล่าวคือผู้ใช้สามารถจัดการเลือกรับสายเรียกเข้าได้ทุกเมื่อ ซึ่งฟีเจอร์นี้เมื่อเราเลือกตั้งค่าให้รับ หรือไม่รับสายแล้ว ระบบจะทำงานตามที่ได้ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ และไม่มีการบันทึกเบอร์ไว้ในรายการการโทร เช่นเดียวกับการแจ้งเตือนใน Notification
5. ฟีเจอร์ Direct Boot
หากอุปกรณ์ของเราเข้ารหัสข้อมูลในเครื่องไว้ ถ้าเกิดเครื่องรีบูตตัวเองขึ้นมา บางแอพก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ก่อนที่ผู้ใช้งานจะ Log-in ดังนั้นจึงทำให้อาจมีปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเรา เนื่องจากแอพฯ บางตัวอาจไม่ทำงาน ส่งผลให้ไม่มีการแจ้งเตือน หรืออะไรก็ตามที่เราได้ตั้งค่าไว้และอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นตามมาภายหลัง เช่น เรื่องงาน, การนัดหมาย, การประชุม เป็นต้น
แต่พอมาเป็นแอนดรอยด์ N ระบบจะทำการอนุญาตให้แอพฯ เข้าถึงข้อมูลได้อย่างจำกัด หรือที่จำเป็นเท่านั้นอาทิ การตั้งปลุก, ข้อความ, สายโทรเข้า รวมถึงการเข้าถึงการบริการ (Accessibility Services ) เพราะปัจจัยที่สำคัญคือต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวด้วย ดังนั้นจึงถูกจำกัดให้การใช้งานมีความเหมาะสม
6. ฟีเจอร์ Data Saver
แน่นอนว่าการใช้สมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตในการทำกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ แต่ถึงแม้จะควบคุมปริมาณ Data ยังไง ยังมีการรั่วไหลให้เห็นอยู่เสมอ ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นเกินโควต้าที่ผู้ใช้ได้สมัครไว้ หรือสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน
ท่วาฟีเจอร์ Data Saver ช่วยให้จัดการจำกัดปริมาณการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายอินเตอร์เนตไร้สาย ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กล่าวคือผู้ใช้จะสามารถตั้งค่าได้อย่างอิสระ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่นปิดกั้นการรับส่งที่เกิดขึ้นจากระบบ Background Apps, กำหนดปริมาณการรับส่งข้อมูล (limiting bit rate) สำหรับการ Streaming, ลดคุณภาพของภาพ (reducing image quality) เป็นต้น
7. ฟีเจอร์ Doze อัพเกรดอีกขึ้น เพื่อประหยัดพลังงานสุดๆ
เรียกได้ว่าฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นส่วนไฮไลท์ของแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 6 เลยก็ว่าได้ ทำให้การประหยัดมีประสิทธิภาพสูงสุดขึ้นไปอีก เพราะในปัจจุบันสมาร์ทโฟนนั้นแบตเตอรี่หมดไวเหลือเกิน ดังนั้นฟีเจอร์ Doze ก็เสมือนเป็นการช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานเพิ่มขึ้น
แต่ใน Android N ทาง Google ได้เลือกพัฒนาให้ฟีเจอร์ Doze จากเดิมที่ช่วยประหยัดพลังงานตอนอุปกรณ์วางอยู่นิ่งๆ (ไม่ได้ใช้งานระยะเวลาหนึ่ง) ปรับเปลี่ยนให้มาประหยัดพลังงานตลอดเวลา ด้วยการจำกัดการทำงานเบื้องหลัง เช่น CPU, GPU, Ram, แอพพิลเคชั่น, การเชื่อมต่อต่างๆ ที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ระดับ กล่าวคือหากไม่ได้ใช้งานนาน สมาร์ทโฟนของเราจะถูกกำจัดการใช้งานหลายอย่างมากขึ้นไปอีก เรียกว่าอะไรที่ไม่กระทบต่อผู้ใช้ปิดได้ปิดเลย
8. Zoom หน้าจอได้แล้ว ช่วยเพิ่มความสะดวกแก่การใช้งาน ต่อผู้สูงอายุ หรือผู้มีปัญหาทางสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว เป็นต้น
กล่าวคือฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นการเลือกระดับสเกลให้ไอคอนหรือตัวอักษรเป็นขนาดเล็กหรือใหญ่ ไม่ใช่การซูมเข้าซูมออกดังที่ใช้งานบนเว็บไซต์ โดยมีให้เลือกตั้งแต่ Small, Default, Large, Larger และ Largest
9. ฟีเจอร์ Project Svelte
ถึงแม้จะไม่ใชเรื่องใหม่ แต่พบว่าแม้ว่าจะมาในเวอร์ชั่น 6.0 แล้วระบบแอนดรอยด์ยังมีการทำงานเบื่องหลังอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้มีการใช้ Ram และไม่สามารถดึงกลับคืนมาได้ รวมถึงการใช้พลังงานเช่นกันที่พบว่าสิ้นเปลืองไม่น้อย ดังนั้นจึงเกิดโปรเจคดังกล่าวขึ้นมาเพื่อปรับแต่งระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิมในแบบฉบับ Android N
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถูกพบใน Android N
หมายเหตุ : ขอขอบคุณคลิปวิดีโอประกอบเนื้อหาบทความจาก Android Police
อย่างไรก็ตามทั้ง 9 ฟีเจอร์ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายส่วนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ดังนั้นจึงไม่เหมาะแก่การใช้งานจริง ดังนั้นถ้าหากใครอยากทดสอบสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ developer.android.com ส่วนชื่อเต็มของแอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่นี้จะเป็นอะไร ลองทายกันเล่นๆ ดูครับ
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
ที่มา : developer.android.com วันที่ : 10 มีนาคม 2559
Blackview Active 10 Pro มาแล้ว! แท็บเล็ต 5G แบตฯ อึด กล้องเทพ ลดแรงแค่ 7 วันเท่านั้น!
เปิดตัว HUAWEI FreeBuds Pro 4! หูฟังไร้สายรุ่นแรกที่ใช้ HarmonyOS NEXT
ทำความรู้จัก TECNO SPARK 30C หน้าจอ 120Hz ทนน้ำทนฝุ่น IP54 ลำโพงสเตอริโอ มีชาร์จเร็ว
ทำความรู้จัก HONOR 200 Smart 5G หน้าจอ 120Hz ทนน้ำทนฝุ่น IP64 กล้องหลัง 50MP AI Motion Sensing
HONOR X9c Smart สมาร์ทโฟนกล้องหลังคู่ 108MP ชิปเซ็ต Dimensity 7025-Ultra
รีวิว HONOR 200 Smart 5G คุ้มค่าเกินราคา สุดยอดสมาร์ทโฟนสำหรับคนชอบลุย12 ชั่วโมงที่แล้ว