เทคโนโลยี (Technology) | วันที่ : 28 มีนาคม 2560
โปรเจค X เป็นบริษัทในเครือของ Alphabet Inc. ที่ทำงานวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันรูปแบบต่างๆ เดิมทีเดียวอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ Google และมีชื่อเรียกก่อนหน้านี้ (ค.ศ. 2010- 2015) ว่า Google X ได้เผยเรื่องราวความสำเร็จของ Gcam กลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของกล้องถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟนตระกูล Pixel ว่ามีความเป็นมาอย่างไรและกว่าจะมีวันนี้ต้องเจอกับบททดสอบอย่างไรบ้าง
เดิมทีเดียว Gcam ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับแว่น Google Glass ซึ่ง Sebastian Thrun หัวหน้าโปรเจค X ในเวลานั้นกำลังหาทางให้ผู้ใส่แว่น Google Glass ใช้งานกล้องและถ่ายภาพได้โดยไม่ต้องหยิบอุปกรณ์อะไรออกมา เพื่อให้ใครก็ตามตั้งแต่พ่อแม่ที่มีลูกตัวน้อยไปจนถึงหมอผ่าตัดจะสามารถใช้ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้ได้ ซึ่งการจะทำให้มันกลายเป็นที่นิยมก็ต้องทำให้มันมีความสามารถเทียบเท่ากับกล้องบนมือถือเป็นอย่างน้อย
ภาพการเลือกมะเขือเทศราชินีในมุมมองจากกล้อง Google Glass
อย่างไรก็ตามการออกแบบแว่นก็ได้สร้างเงื่อนไขและความท้าทายอย่างมาก กล้องและเลนส์ขนาดเล็กทำให้ข้อมูลแสงที่รับมามีคุณภาพต่ำ เมื่อเจอข้อจำกัดอย่างสภาพแวดล้อมแสงน้อยหรือมีความต่างของช่วงสีมากๆ ภาพที่ได้มักจะไม่ดีนัก เซ็นเซอร์รับภาพที่ใช้งานก็มีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์รับภาพบนมือถือแถมการประมวลผลและพลังงานที่ใช้ได้ก็มีอยู่อย่างจำกัด
ต้นแบบแว่น Glass ในช่วงแรกๆ ของการพัฒนา
เนื่องจากแว่น Google Glass ต้องการแสงและขนาดที่พอเหมาะในการสวมใส่ ดังนั้นการออกแบบกล้องให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี Marc Levoy สมาชิกของภาควิชาวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์ Stanford Computer Science department ในเวลานั้นผู้เป็นหนึ่งในทีมงานของ Google X ผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณและหาวิธีประมวลผลภาพดิจิตอลด้วยซอฟต์แวร์ (expert in computational photography) จึงเริ่มตั้งคำถามว่า
จะทำอย่างไรถ้าเรามองปัญหานี้ด้วยวิธีการใหม่ทั้งหมด?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเอาซอฟต์แวร์ที่ดีกว่านี้มาใช้แทนที่จะไปโฟกัสแก้ปัญหาทางฝั่งฮาร์ดแวร์?
ในปีค.ศ. 2011 Marc ก็ได้ก่อตั้งทีมที่รู้กันภายในกลุ่ม Google X ชื่อว่า Gcam โดยภารกิจของพวกเขาคือหาวิธีปรับปรุงการถ่ายภาพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยใช้เทคนิคการประมวลผลภาพด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งพวกเขาก็สามารถหาวิธีการมาใช้กับแว่น Google Glass โดยเรียกวิธีดังกล่าวว่า "Image Fusion" หรือการรวมภาพมุมเดียวกันต่อเนื่องเป็นลำดับอย่างรวดเร็วมาประมวลผลเป็นภาพที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิม ด้วยเทคนิคนี้ทำให้พวกเขาใส่รายละเอียดให้ภาพได้มากขึ้น ลดแสงที่มากเกินไปให้จางลงและชัดเจนขึ้น ทั้งหมดทั้งปวงนี้หมายถึงการทำให้ภาพมีความสว่างและคมชัดขึ้น
Image Fusion เปิดตัวมาพร้อมกับ Google Glass ในปี ค.ศ. 2013 ซึ่งในเวลาต่อมาเทคนิคดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ เมื่อผู้คนใช้งานกล้องสมาร์ทโฟนเพื่อบันทึกภาพและแบ่งปันช่วงเวลาสำคัญกันมากขึ้น ซอฟต์แวร์ของ Gcam ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกล้องโดยไม่ต้องคำนึงถึงแสง เทคนิค Image Fusion จึงถูกนำไปใช้งานและเปิดตัวภายในแอพกล้องมือถือ Android อย่าง Nexus 5 และ Nexus 6 ภายใต้ชื่อ HDR+
ตัวอย่างภาพถ่ายในโหมด HDR+ ที่ใช้ซอฟต์แวร์ผสมผสานแสงในภาพพระอาทิตย์ตกดินในหุบเขา Bear Valley บันทึกภาพผ่านสมาร์ทโฟน Pixel โดย Marc Levoy
เทคโนโลยีของ Gcam ถูกนำมาใช้ปรับปรุงการถ่ายภาพทั้งในรูปแบบของแอพพลิเคชั่นและผลิตภัณฑ์ กลุ่มผู้พัฒนา Gcam ถูกย้ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานวิจัยของ Google Research ในปี ค.ศ. 2015 ซึ่งปัจจุบันทีมงานได้ร่วมมือกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ทั้ง Android, Youtube, Google Photos และอุปกรณ์ 360˚ Virtual Reality โดยซอฟต์แวร์ดัง ๆ ที่มาจาก Gcam ได้แก่ Lens Blue โหมดเบลอฉากหลังในแอพ Google Camera และซอฟต์แวร์รวมภาพพาโนราม่าใน Jump ที่ได้จากการบันทึกวิดีโอภาพเสมือนจริงรอบทิศทาง 360˚Virtual Reality
ตัวอย่างภาพถ่ายในโหมด HDR+ ที่ใช้ซอฟต์แวร์เร่งรายละเอียดความสว่าง แสงเงาของวัตถุและท้องฟ้าในพื้นที่รกร้าง Desolation Wilderness บันทึกภาพผ่านสมาร์ทโฟน Pixel โดย Marc Levoy
ปัจจุบันเทคโนโลยี HDR+ ของ Gcam กลายเป็นโหมดเริ่มต้นสำหรับการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนตระกูล Pixel ซึ่งได้รับการยกย่องโดย DxOMark มาตรฐานที่เชื่อถือได้ในแวดวงอุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปที่ให้คำนิยามกล้องบนสมาร์ทโฟนตระกูล Pixel ในปี ค.ศ. 2016 ไว้ว่า "เป็นกล้องสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา" สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของกลุ่มผู้พัฒนา Gcam ซึ่ง Marc เผยว่า "ใช้เวลาถึง 5 ปี กว่าจะทำให้มันเข้าที่เข้าทาง ...และขอบคุณโปรเจค X ที่ให้การสนับสนุนทีมงานของเราในระยะยาวจนกระทั่งมันเกิดขึ้นได้จริง"
อะไรคืองานชิ้นต่อไปของ Gcam?
Marc ผู้ที่เริ่มต้นอาชีพด้วยการพัฒนาระบบการ์ตูนภาพเคลื่อนไหวซึ่งถูกสตูดิโอ Hanna-Barbera นำไปใช้ผลิตรายการการ์ตูนทางทีวีหลายๆ เรื่อง อย่างเช่น Yogi Bear, Flintstones, Scooby-Doo เผยว่า "ทิศทางหนึ่งที่เรากำลังผลักดันต่อไปคือเรื่องการเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine learning)" เขาอธิบาย "มีความเป็นไปได้มากมายที่จะสร้างผลงานอันน่าทึ่ง เช่น การสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูลภาพเพื่อสร้างสมดุลแสงขาวที่ดีขึ้น หรือการจัดการกับพื้นหลังของวัตถุให้สามารถเบลอ หรือแม้แต่ทำให้พื้นหลังมืดลง สว่างขึ้น เราอยู่ในที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการศึกษาและทดสอบการเรียนรู้ของเครื่องจักร จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยผสานโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์เข้ากับโลกแห่งการปรับปรุงการถ่ายภาพด้วยซอฟต์แวร์"
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้คงไม่มากเกินไปหากจะบอกว่าทิศทางของ Gcam กำลังไปได้สวยหรูเลยทีเดียว
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
ที่มา : blog.x.company วันที่ : 28 มีนาคม 2560
DRONE รุ่นใหม่ล่าสุด DJI Avata 2 ประสบการณ์การบินที่สมจริงอย่างเต็มรูปแบบ
Sony เปิดตัวซีรีส์ ULT POWER SOUND เสียงเบสกระหึ่ม เต็มอารมณ์
MG4 Electric 2024 ดีไซน์สปอร์ต สมรรถนะเร้าใจ เริ่มต้น 7 แสนบาท
Huawei เปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ LUNA S1 เพื่อการใช้งานในภาคครัวเรือนและองค์กร
Moto G04s น่าใช้ขึ้นด้วยกล้อง 50MP เทคโนโลยี Quad pixel และลำโพง Dolby Atmos
Google Vids ปลดล็อกพลังการสร้างวิดีโอด้วย AI บน Google Workspace
motorola edge 50 Pro หน้าจอ pOLED 6.7 นิ้ว ชิปเซ็ต Snapdragon 7 Gen 3 ชาร์จเร็ว 125W
Hyundai IONIQ 6 ดีไซน์ล้ำสมัย ขับขี่ไกล 545 กม. เปิดตัวในไทยราคา 1.899 ล้านบาท
MOMENTUM Sport หูฟังไร้สาย ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิไปพร้อมเสียงเพลง
Lenovo Tab M11 แท็บเล็ตหน้าจอ 11 นิ้ว ใช้กับสไตลัส Lenovo Tab Pen เขียนลื่น
Redmi Note 13 Pro+ 5G Xiaomi Fan Festival Special Edition สี Mystic Silver