สมาร์ทโฟน (Smartphone)  |   วันที่ : 31 มีนาคม 2560

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

เปิดตัวอย่างเป็นทางการกันไปแล้ว สำหรับ Galaxy S8 & Galaxy S8+ สองพี่น้องที่ถูกจับตามองมากที่สุด เชื่อว่าหลายคนอาจก็กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะนำมาไว้ครอบครองในอ้อมกอดดีหรือไม่ ดังนั้นทีมงาน Siamphone.com จึงได้รวบรวมข้อมูลครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นจุดเด่น, สเปก, ข้อแตกต่างหรือแม้รายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องรู้ เพราะฉะนั้นก่อนซื้อต้องรู้จะได้ตัดสินใจถูก มาเริ่มกันเลย!

Samsung Galaxy S8 & Galaxy S8+ มีจุดเด่นอะไรบ้าง

1. สวยงามและแข็งแรง : ต้องบอกว่าครั้งนี้ซัมซุงพิถีพิถันในการออกแบบมากขึ้น โดยตัวเครื่องถูกดีไซน์ให้มีควาสมมาตร เนื่องจากตัวเครื่องก็มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นส่งผลให้มีขนาดตัวเครื่องเพิ่มตาม แต่ไม่ได้ทำให้จับถือลำบาก เพราะจะสอดรับกับฝ่ามือของเราอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ด้านหน้าด้านหลังยังครอบทับกระจก Corning Gorilla Glass 5 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่พิสูจน์แล้วป้องรอยขีดข่วนได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้า

 

2. หน้าจอใหญ่กับความละเอียดเพิ่มขึ้น : กลายเป็นว่าไฮไลท์ของคู่หู่ดังกล่าวอยู่ที่หน้าจอไปเลย ทางแบรนด์เรียกคอนเซ็ปต์ว่า "Infinity Display" กล่าวคือหน้าจอไร้ขอบไร้กรอบมีอัตราส่วน 18.5:9 พื้นที่เหนือหน้าจอและใต้หน้าจอมีขนาดลดลงส่งผลให้มีความรู้สึกชมคอนเทนต์เต็มตามมากยิ่งขึ้นไร้สิ่งบดบัง นอกจากนี้ยังมาพร้อมความละเอียด 2960 × 1440 พิกเซลหรือ Quad HD+ อย่างไรก็ตามเราสามารถปรับความละเอียดการแสดงผลได้ เพื่อประหยัดแบตฯ เป็นระดับ FullHD+ (2220 x 1080 พิกเซล) อีกทั้งรองรับการแสดงผล HDR ดังนั้นจึงสามารถสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงเต็มอิ่ม

อย่างที่เกริ่นข้างต้นอัตราส่วนหน้าจอเปลี่ยนไปคือ 18.5:9 นั่นหมายความว่าหน้าจอมีความสูงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การเล่นเว็บไซต์สะดวกยิ่งขึ้น กล่าวคือไม่ต้องเลื่อนขึ้นเลื่อนลงบ่อยนั่นเอง

 

3. ไร้ปุ่ม Home แต่มีปุ่มใหม่เพิ่ม : เชื่อว่าหลายคนคงดีใจกันที่โลโก้ Samsung ถูกนำออกไปแล้ว ทว่าปุ่มควบคุมทางกายภาพก็ถือเป็นประเด็นน่าสนใจเลยทีเดียวเนื่องจากย้ายไปไว้ในหน้าจอแล้ว ซึ่งตามแบบฉบับแอนดรอยด์เลย มี 3 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่มแอพฯ ล่าสุด, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ ความพิเศษคือปุ่มโฮมจะสามารถรับรู้แรงกดได้ทางแบรนด์เคลมว่าตอบสนองดีกว่าแบรนด์ผลไม้ด้วย นอกจากนี้ฝั่งซ้ายตัวเครื่องมีปุ่มเพิ่มเติมคือ ปุ่มเรียกการใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะนามว่า Bixby  

4. Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะความท้าทายใหม่ของ Samsung : เราสามารถเรียกใช้งานผู้ช่วยได้ทั้งแบบกดปุ่มหรือแค่พูดว่า "Bixby" โดยจะเริ่มต้นการทำงานทันที บื้องต้นระบบ AI ดังกล่าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นจึงใช้งานได้ไม่กี่แอพฯ อาทิ แอพฯ ของ Samsung, การโทร, ข้อความ, การตั้งค่า, กล้อง, แจ้งเตือน, รายชื่อผู้ติดต่อ, คลังภาพ และถ้าต้องการหาข้อมูลใดจากภาพผู้ช่วยเราก็จะทำการค้นหาทันที ทั้งสามารถอ่าน QR Code ได้โดยไม่พึ่งแอพฯ อื่นด้วย นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังเรียนรู้ปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

 

ทำความรู้จัก Bixby ผู้ช่วยส่วนตัวที่มาพร้อมความอัจฉริยะ

อย่างที่เกริ่นข้างต้นทาง Samsung ได้เพิ่มปุ่มกดเพื่อเรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัวนี้ขึ้นมาฝั่งซ้ายของตัวเครื่อง โดยความสามารถแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่

  • Voice : คำสั่งเสียงเริ่มต้นใช้งานได้ง่ายๆ เพียงพูดคำว่า "Bixby" สามารถทำงานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สั่งให้โทร, สั่งให้ถ่ายภาพ, สั่งให้ค้นหาภาพ หรือแม้แต่การตั้งค่าต่างๆ
  • Vision : ค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่ผู้ใช้กำลังมองอยู่ เช่น หากมองภาพใดภาพหนึ่งทางผู้ช่วยก็จะค้นหาข้อมูลต่างๆ มาแสดงให้เราได้รู้ว่าในภาพนี้มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เช่น ข้อมูลสถานที่, สถานที่ใกล้เคียง เป็นต้น ทั้งสามารถแปลข้อความ, อ่าน QR Codes
  • Reminder : ทุกการนัดหมายจะเป็นเรื่อง่ายขึ้นและไม่มีผิดการนัดหมายอีกต่อไป โดยเราไม่ต้องมาเปิดดู เมื่อใกล้ถึงเวลานัดผู้ช่วยส่วนตัวจะมีการแจ้งให้ทรายทันที
  • Home : เป็นเหมือนศูนย์กลางควบคุม โดยจะรวบรวมแอพฯ และการบริการมาไว้ทั้งหมดในหน้าเดียว และจะมีการปรับแต่งการโชว์ข้อมูลข่าวสารให้ตรงกับพฤติกรรมผู้ใช้งานหรือเทรนด์ ณ ขณะนั้นไว้ด้วย

5. สแกนม่านตาพร้อมระบบตรวจจับใบหน้า : หลังเปิดตัวเทคโนโลยีนี้ใน Galaxy Note 7 ก็หยิบมาใช้กับสองพี่น้องคู่นี้ด้วยพร้อมพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม ทั้งมีความแม่นยำสามารถสแกนในพื้นที่สภาวะแสงน้อยได้ไรปัญหารวมถึงการใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์

6. หน่วยประมวลผลเร็วแรง พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลภายในแบบ UFS 2.1 : เปิดตัวออกมาอย่างเรียบร้อยแล้วและก็เป็นตามคาดว่ามาพร้อม Snapdragon 835 & Samsung Exynos 8895 โดยจุดน่าสนใจคือการมีพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ UFS 2.1 จึงมีประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลดีกว่ารุ่นทั่วไป

 

7. Bluetooth 5.0 : ค่อนข้างเงียบพอสมควรเลยในประเด็นนี้ แต่ด้วยมาตรฐานนี้จะช่วยให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การทำงานร่วมกับ Smart Home ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ จะมีความหน่วงลดลง 

 

8. การเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูงระดับ Gigabit : มีผลทดสอบออกมาทันทีเลยโดยผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาทำการทดสอบซึ่งความเร็วการดาวน์โหลดและอัพโหลดเกือบระดับดังกล่าว เนื่องจากมีเทคโนโลยีเชื่อมต่อ LTE Category 16

 

9. ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรยังอยู่ ที่พิเศษคือแถมหูฟัง AKG ภายในกล่อง : ขณะที่ใครต่อใครต่างละทิ้งฟังก์ชั่นนี้ แต่ Samsung เห็นต่างโดยคิดว่าสมาร์ทโฟนของพวกเขานั้นถูกออกแบบเพื่อความบันเทิงเต็ม ดังนั้นจึงเพิ่มความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการแถมหูฟังมาตรฐาน AKG มูลค่ากว่า $100 หรือ 3,4xx บาท

 

10. กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล มีซอฟต์แวร์ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ : ไม่เฉพาะแค่กล้องหน้าที่มีโหมดนี้กล้องด้านหลังก็มี อย่างไรก็ตามจะสามารถเซลฟี่ได้อย่างแม่นยำด้วยระบบออโต้โฟกัสพร้อมเทคโนโลยี 

 

11. มาตรฐานกันนํ้ากันฝุ่นมาตรฐาน IP68 : ถึงแม้จะปลอดภัยด้วยมาตรฐานแต่ว่ายังมีเงื่อนไขอยู่ดี ดังนั้นก่อนนำไปใช้งานใต้นํ้าควรพิจารณาถึงกฏเกณฑ์ให้ดีเสียก่อน โดยทางแบรนด์เน้นเฉพาะป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น

 

12. กล้องหลังไม่มีอะไรว้าว แค่ปรับปรุงซอฟต์แวร์ : อย่างที่เกริ่นข้างต้นไม่มีการยกเสปกใหม่ ทว่าได้ปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้ประมวลผลภาพดียิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า enhanced image processing โดยเมื่อกดชัตเตอร์จะทำการถ่ายภาพไว้ 3 ภาพพร้อมกันจากนั้นรวมเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ภาพที่ดีที่สุด นอกจากนี้เลนส์กล้องก็จะไม่ยื่นนูนออกมาด้วย

  • ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Galaxy S8 & Galaxy S8+

13. เหล่าอุปกรณ์เสริมเพิ่มความบันเทิง : เพราะความสนุกไม่ได้อยู่แค่บนสมาร์ทโฟน....

 

ทำความรู้จัก Samsung Dex คืออะไร มีดีอย่างไร

เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญเลยจะเรียกว่าแปลกก็ไม่ผิด หากคาดการณ์อาจเพราะไม่ใช่ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงเท่านั้น แต่ต้องการตอบสนองผู้ใช้งานกลุ่มองค์กรมากขึ้นจึงเปิดตัวอุปกรณ์ดังกล่าวขึ้น

สำหรับสเปกมีดังนี้ พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-Type C มาพร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Adaptive Fast Charging หมายความว่าใช้งานพร้อมกับชาร์จแบตเตอรี่ไปด้วย เพื่อเสียบเข้ากับ Galaxy S8 & S8+ ด้านหลังมีพอร์ต USB 2.0 จำนวน 2 พอร์ตสำหรับเสียบอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เมาส์หรือคีย์บอร์ด, พอร์ต HDMI ส่งภาพขึ้นจอคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์, พอร์ต Ethernet เสียบสาย Lan นอกจากนี้ แท่นวาง Samsung DeX มีระบบระบายความร้อนด้วยพัดลม

ส่วนประเด็นการใช้งานทางแบรนด์เคลมว่าได้ร่วมมือกันพัฒนากับพาร์ทเนอร์ Microsoft & Adobe เพื่อพัฒนาให้ Microsoft Office กับแอพฯ ของ Adobe อาทิ Adobe Acrobat Reader, Lightroom ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพบนหน้าจอ Destop และก็ยังรอบรับซอฟต์แวร์ประเภท Virtual desktops อาทิ Citrix, VMware และ Amazon Web Services

ข้อที่ต้องพิจารณาเพิ่มของ Galaxy S8 & Galaxy S8+

1. หน้าจอที่ใหญ่อาจมีปัญหาในการจับถือสำหรับบางคน : หลายคนชื่นชอบสมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 5 นิ้ว - 5.5 นิ้ว เป็นส่วนใหญ่ ทว่าคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการชมคอนเทนต์วิดีโออาจดูขัดหูขัดตาไปเสียหน่อย ดังนั้นถ้าขยับขึ้นมาเล่นสองพี่น้องนี้ปัญหาแรก คือต้องลองเล่นและทำความคุ้นเคย เพราะการจับถือจะเป็นอุปสรรคได้

2. ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะถาดซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid : เป็นอีกหนึ่งสำคัญเลยที่หลายคนบอกน่าเสียดาย เพราะแยกกันจะเป็นสมาร์ทโฟนสมบูรณ์แบบมากขึ้น ส่วนประเภทซิมการ์ดเป็นแบบ Nano SIM

 

3. BixBy รองรับภาษาอังกฤษแบบ US, เกาหลี, ภาษาจีน : ภาษาไทยเป็นอุปสรรคแน่นอนคงต้องรอการอัปเดตต่อไป 

 

4. แบตฯ เพียงพอหรือไม่ : ด้วยสเปก, ฟีเจอร์, หน้าจอแสดงผล และปัจจัยหลายๆ อย่างเหมือนว่าจะอาจเป็นปัญหาได้ เพราะแบตฯ ที่น้อยนิดเกินไป คาดการณ์ได้ว่าอาจเกรงปัญหาซํ้าสองก็จึงเลือกขนาดความจุที่สอดคล้องกับดีไซน์ แต่ทางแบรนด์ก็ชดเชยด้วยการมีคุณสมบัติชาร์จเร็วและการชาร์จไร้สาย

5. การติดฟิลม์หรือกระจกกันรอย

อาจต้องรอดูว่าผู้ผลิตฟิลม์หรือกระจกกันรอยจะทำออกมาเฉพาะรุ่นหรือไม่ซึ่งไม่ติดสุ่มเสี่ยงมากกว่า แต่ถ้าติดก็อุ่นใจเพิ่มขึ้นมาเหมือนกัน ทว่าบริเวรณขอบโค้งจะมีปัญหาได้

สรุปสเปกของ Galaxy S8 & Galaxy S8+ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  Galaxy S8 Galaxy S8+
ขนาดตัวเครื่อง 148.9 x 68.1 x 8.0 มม.   159.5 x 73.4 x 8.1 มม.
นํ้าหนัก  155 กรัม  173 กรัม
ระบบปฏิบัติการ  Android 7.0 (Nougat) ครอบทับ Samsung experience Android 7.0 (Nougat) ครอบทับ Samsung experience
หน้าจอ Super AMOLED กว้าง 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล มีความหนาแน่นพิกเซล 570 ppi มี Always ON Display  Super AMOLED กว้าง 6.2 นิ้ว ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล มีความหนาแน่นพิกเซล 529 ppi มี Always ON Display
หน่วยประมวลผล  Snapdragon 835 / Exynos 8895  Snapdragon 835 / Exynos 8895
GPU  Adreno 540 / Mali-G71 MP20  Adreno 540 / Mali-G71 MP20 
Ram  LPDDR4 : 4GB LPDDR4 : 4GB 
พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 64GB (UFS 2.1) รองรับ MicroSD Card สูงสุด 256GB  64GB (UFS 2.1) รองรับ MicroSD Card สูงสุด 256GB 
ระบบเชื่อมต่อ  

Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz), Bluetooth 5.0, ANT+, USB Type-C, NFC, GPS, Galileo, Glonass, BeiDou

 

Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz), Bluetooth 5.0, ANT+, USB Type-C, NFC, GPS, Galileo, Glonass, BeiDou

กล้องหลัง  Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS รูรับแสง f/1.7 จุดพิกเซลขนาด 1.4µm ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.55 นิ้ว รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุด 4K (พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว VDIS)  Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS รูรับแสง f/1.7 จุดพิกเซลขนาด 1.4µm ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.55 นิ้ว รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุด 4K (พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว VDIS)
กล้องหน้า  ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัส มีรูรับแสงกว้าง f/1.7 จุดพิกเซลขนาด 1.22µm ขนาดเซ็นเซอร์ 1/3.6 นิ้ว มุมมองการถ่ายภาพกว้าง 80 องศา   ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัส มีรูรับแสงกว้าง f/1.7 จุดพิกเซลขนาด 1.22µm ขนาดเซ็นเซอร์ 1/3.6 นิ้ว มุมมองการถ่ายภาพกว้าง 80 องศา
แบตเตอรี่ 3000mAh   3500mAh 

 

ความแตกต่างของทั้งสองรุ่นคืออะไร

จะเป็นในเรื่องของสเปกล้วนๆ ฟีเจอร์หรือฟังก์ชั่นต่างๆ เหมือนกัน โดยข้อแตกต่างคือขนาดหน้าจอและแบตเตอรี่นั่นเอง

 

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

มือถือออกใหม่