สมาร์ทโฟน (Smartphone)  |   วันที่ : 8 สิงหาคม 2560

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

ในช่วงนี้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนแต่ละค่ายต่างมีการแข่งขันกันอย่างสูงตั้งแต่ระดับ Low-end ถึง High-end ทั้งฝั่ง iOS และ Android รวมไปถึงราคา, การออกแบบ, และสเปคที่แตกต่างกันไป และด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ยากที่จะตัดสินใจในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟน วันนี้เราจึงนำ 8 วิธีดูสเปคและข้อมูลเบื้องต้นของสมาร์ทโฟนในปัจจุบันเพื่อมาเป็นอุปกรณ์คู่ใจของเรา ดังนี้

1. ระบบปฏิบัติการในแต่ละแบรนด์

อย่างแรกเลยผู้ใช้งานต้องรู้ถึงการทำงานเบื้องต้นของความแตกต่างระหว่างระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ดังนี้

  • ระบบปฏิบัติการ iOS จะเป็น OS ระบบจากค่าย Apple ที่จะเน้นเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานและการทำงานที่ไหลลื่นของตัวแอพพลิเคชั่นต่างๆ ภายในเครื่อง
  • ระบบปฏิบัติการ Android เป็นระบบจาก Google ที่จะเน้นเรื่องความสามารถในการปรับแต่งการทำงานภายในเครื่อง และยังมีราคาที่หลากหลายตั้งแต่ระดับไม่กี่พันไปจนถึงหลายหมื่น

2. หน่วยประมวลผล (CPU)

หน่วยประมวลผลของสมาร์ทโฟนจะมีการทำงานที่เป็นจุดศูนย์กลางของการทำงานภายในเครื่อง ซึ่งในปัจจุบัน หน่วยประมวลผลมีหลายประเภท ได้แก่

  • CPU Single-core ซีพียู 1 แกนสมอง คือหน่วยประมวลผลที่มีการทำงานเพียง 1 แกนสมอง เปรียบเสมือนบริษัทที่ทำงานคนเดียวและอาจมีการทำงานที่ล่าช้า
  • CPU Dual-core ซีพียู 2 แกนสมอง เหมือนมีคน 2 คนช่วยทำงานด้วยกันโดยแต่ละคนก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกัน และมีความเร็วมากกว่า Single-core
  • CPU Quad-Core ซีพียู 4 แกนสมอง ที่เปรียบเหมือนพนักงาน 4 คนที่ช่วยกันทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น โดยในสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นแบบ Quad-Core
  • CPU Hexa Core ซีพียู 6 แกนสมอง ที่มีความรวดเร็วในระดับที่สูง โดย Hexa Core นี้จะใช้อยู่ในสมาร์ทโฟนรุ่น iPhone 7 และ 7 Plus
  • CPU Octa Core ซีพียู 8 แกนสมอง เป็นหน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่รวดเร็วมากที่สุดในปัจจุบัน โดยจะอยู่บนสมาร์ทโฟนระดับ High-end หรือรุ่นท็อป ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในแบรนด์ Samsung หรือแอนดรอยด์รุ่นอื่นๆ
    ทั้งนี้ หากสมาร์ทโฟนยิ่งมีแกนสมองที่เยอะขึ้นก็ควรที่จะมีแบตเตอรี่ที่มีความจุที่เยอะตามไปด้วยเนื่องจากส่วนใหญ่หน่วยประมวลผลที่ยิ่งมีความแรงมักจะใช้พลังงานไปกับภาพกราฟิกในการแสดงผลด้วยเช่นกัน

3. RAM และหน่วยความจำภายใน (ROM)

  • RAM (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำที่ทำงานคล้ายๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากสมาร์ทโฟนที่ยิ่งมี RAM มากก็จะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่รวดเร็วและไหลลื่นมากกว่า เช่น ในการใช้งานของแต่ละแอพพลิเคชั่นจะใช้ RAM เป็นตัวช่วยในการทำงาน ดังนั้นเมื่อสมาร์ทโฟนของเรามี RAM ที่เยอะ การทำงานก็จะยิ่งเร็วตามไปด้วย
  • ROM (Read-Only Memory) คือหน่วยความจำถาวรของสมาร์ทโฟนที่ให้มาบนเครื่อง หรือหากเราจะทำความเข้าใจอย่างง่ายๆ ก็คือคล้ายๆ ฮาร์ดดิสเก็บข้อมูลทั้งหมดบนเครื่องไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่น, รายชื่อ, เอกสาร, เพลง, วิดีโอ และรูปต่างต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกตั้งแต่ 8GB, 16 GB, 32 GB, 64 GB, 128 GB, 256 GB และคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมี ROM ความจุ 512 GB โดยในปัจจุบันสมาร์ทโฟนที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานจะอยู่ที่ตั้งแต่ 32 GB ขึ้นไป

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยความภายนอกที่เรียกว่า Micro SD Card ที่ถือเป็นตัวช่วยในการรองรับไฟล์ในอุปกรณ์สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ของเราได้มากขึ้น ( iPhone ไม่สามารถเพิ่มได้) โดยจะมีความจุและราคาที่แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น

4. รองรับสัญญาณ 4G LTE หรือไม่

ในปัจจุบันนี้สัญญาณอินเทอร์เน็ต 4G LTE ถือเป็นสัญญาณหลักที่สมาร์ทโฟนในปัจจุบันต้องรองรับเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับความรวดเร็วในการเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และที่สำคัญในการดูว่าสมาร์ทโฟนที่เราต้องการเลือกซื้อนั้นรองรับสัญญาณ 4G หรือไม่ คือการค้นหาสเปคบนอินเทอร์เน็ตหรือการสอบถามผู้ให้บริการนั้นๆ เพื่อความแน่ใจ

5. ความละเอียดและฟังก์ชั่นของกล้อง

สำหรับความละเอียดของกล้องส่วนใหญ่ที่เหมาะสมบนสมาร์ทโฟนในปัจจุบันจะอยู่ตั้งแต่ 8 ล้านพิกเซลสำหรับด้านหลัง ส่วนด้านหน้าจะอยู่ที่ความละเอียดตั้งแต่ 5 ล้านพิกเซลขึ้นไป นอกจากนี้ยังต้องดูฟังก์ชั่นและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้วย เช่น ขนาดรู้รับแสง, ไฟแฟลช LED, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (OIS) หรือระบบป้องกันภาพสั่นไหว เป็นต้น รวมไปถึงหากสมาร์ทโฟนของคุณรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K แล้ว สมาร์ทโฟนของคุณต้องมีหน่วยความจำภายในที่ค่อนข้างเยอะหรือมีการเพิ่ม SD Card เนื่องจากการถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับนี้จะต้องใช้พื้นที่ในการบันทึกวิดีโอที่เยอะพอสมควร

6. ขนาดความจุแบตเตอรี่

ในการใช้งานสมาร์ทโฟนในปัจจุบันของแต่ละคนจะเน้นการทำงานไปที่การฟังเพลง, ดูวิดีโอ และการใช้สื่อออนไลน์ ดังนั้นความจุแบตเตอรี่ก็ควรจะมีเยอะตามไปด้วย โดยเราก็แนะนำให้แบตเตอรี่มีความจุใกล้เคียงหรือมากกว่า 3,000 mAH รวมไปถึงการรองรับเทคโนโลยีเพิ่มความเร็วในการชาร์จ (Quick Charge) เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการรอให้แบตเตอรี่เต็มนั่นเอง

7. ดีไซน์และการออกแบบของตัวเครื่อง

ดีไซน์และการออกแบบถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเพราะจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลเพื่อให้เข้ากับลักษณะของมือถือเรามากที่สุด โดยเฉพาะขนาดของหน้าจอที่จะมีตั้งแต่ 4 นิ้วไปจนถึงขนาดที่ใหญ่กว่า 6 นิ้ว ซึ่งขนาดยิ่งเล็กก็จะยิ่งถนัดมือและพกพาไปได้ง่ายมากขึ้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยหน้าจอที่ค่อนข้างจะเล็กเกินไป หากหน้าจอขนาดประมาณ 5 นิ้วขึ้นไปจะเหมาะแก่การดูวิดีโอ, พิมพ์แชท หรือเล่นเกมได้สะดวกและเป็นขนาดที่พอดีสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ตำแหน่งการทำงานของปุ่มบนหน้าจอยังมีความแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น เช่น ปุ่มด้านล่างหน้าจอของแบรนด์ Samsung จะเป็นปุ่มแอพฯ ล่าสุดในด้านซ้าย, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับในด้านขวา ส่วนสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ อาจจะเป็นปุ่มย้อนกลับในด้านซ้าย, ปุ่ม Home และปุ่มแอพฯ ล่าสุดในด้านขวา เป็นต้น ดังนั้นเราจึงต้องลองสัมผัสเครื่องจริงเพื่อความคุ้นเคยของแต่ละแบรนด์

8. ดูว่าเราจะใช้งานในด้านไหน

สำหรับคนทั่วไปคงมีการใช้งานในแต่ละวันที่ไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน เช่น บางคนชอบถ่ายรูป, ใช้ทำงานทั่วไป หรือเล่นเกม เป็นต้น ก็ควรเลือกสมาร์ทโฟนที่มีหน่วยความจำภายในเยอะพอสมควร รวมไปถึง CPU ที่มีความเร็วในการประมวลผลกราฟิกต่างๆ และความจุแบตเตอรี่มีความจุเยอะด้วยเช่นกัน แต่หากคนไหนที่ใช้งานแค่เล่นโซเชียลมีเดียทั่วไป อาจจะเลือกสมาร์ทโฟนในระดับกลางที่ราคาไม่สูงมากก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว

สำหรับคำแนะนำทั้ง 8 ข้อของเราหวังว่าจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในการเลือกซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสักเครื่องหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสะดวก, ลักษณะการใช้งาน และที่สำคัญอย่าลืมดูราคาที่เหมาะสมกับตัวเรากันด้วยเช่นเดียวกัน

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

มือถือออกใหม่