ซอฟต์แวร์ (Software) | วันที่ : 9 พฤษภาคม 2561
ที่งานประชุมนักพัฒนา Google I/O 2018 มีการเผยตัวอย่างแพลตฟอร์ม Android เวอร์ชั่นใหม่ (Android P) ออกมาอย่างเป็นทางการ มีการปรับโฉมการออกแบบพร้อมกับเพิ่มฟีเจอร์ใหม่บางอย่างเข้ามาซึ่งรวมถึงการสั่งงานด้วยท่าทางที่คล้ายกับการสั่งงานบน iPhone X ของ Apple
แม้ว่าชื่ออย่างเป็นทางการของ Android P ยังไม่เปิดเผยว่าเป็นชื่อขนมอะไร แต่ฟีเจอร์ใหม่ก็ได้รับการเปิดเผยแล้วดังนี้
User Experience: Gestures!
ในแพลตฟอร์ม Android P มีการนำเสนอวิธีควบคุมอุปกรณ์ด้วยท่าทางของนิ้วแบบใหม่ มีการเพิ่มแถบชี้หน้าจอ (home indicator) ขนาดเล็กที่ด้านล่างของหน้าจอบริเวณตำแหน่งของปุ่ม Home โดยผู้ใช้งานสามารถกวาดนิ้วไปทางซ้ายหรือขวาบนแถบชี้หน้าจอเพื่อสลับหน้าแอพพลิเคชั่นอย่างรวดเร็ว (ดูภาพเคลื่อนไหวประกอบ)
Digital Wellbeing
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้งานใช้สมาร์ทโฟนอย่างชาญฉลาดขึ้น มีหน้าแดชบอร์ดแบบครบวงจรที่แสดงข้อมูลว่าผู้ใช้งานใช้สมาร์ทโฟนบ่อยเท่าไรในแต่ละวัน ได้รับการแจ้งเตือนทั้งหมดกี่ครั้ง ระยะเวลาในการใช้งานแอพต่าง ๆ และข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของแต่ละคน นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าขีดจำกัดในการใช้งานแอพซึ่งจะเตือนผู้ใช้เมื่อถึงขีดจำกัดดังกล่าว
อีกฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจได้แก่ "Shush" ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ถูกการแจ้งเตือนรบกวน เพียงแค่เปิดโทรศัพท์และหันหน้าจอคว่ำลงจะเป็นการเข้าสู่โหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) อัตโนมัติซึ่งจะปิดการสั่นและเสียงแจ้งเตือนต่าง ๆ แต่ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มรายชื่อผู้ติดต่อที่ได้รับการยกเว้นได้
สำหรับคนที่ชอบเล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอนและต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะหลับ ใน Android P จะมีโหมด "Wind Down" เมื่อผู้ใช้งานตั้งเวลาโหมดนี้ เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้หน้าจอโทรศัพท์จะเปลี่ยนเป็นโหมดกลางคืนและโทนสีขาวดำเพื่อลดการกระตุ้นสมองซึ่ง Google เผยว่าโหมดนี้จะช่วยให้สมองผ่อนคลายก่อนที่จะเข้านอน
Android Intelligence
ด้วยคอนเซปต์การใช้งานแอนดรอยด์อย่างชาญฉลาด มีการแนะนำฟีเจอร์ใหม่จำนวนมากที่ช่วยให้ผู้ใช้งานใช้สมาร์ทโฟนได้เต็มประสิทธิภาพ
Adaptive Battery
ฟีเจอร์ที่นำการเรียนรู้ด้วยตนเองของเครื่องจักรมาใช้งานเพื่อทำความเข้าใจและทำนายว่าผู้ใช้งานจะใช้แอพอะไรในอีก 2-3 ชั่วโมงข้างหน้าและมีแอพใดบ้างที่ไม่น่าจะถูกใช้งานจนกว่าจะถึงวันหรือสัปดาห์ที่น่าจะนำมาใช้ การใช้ข้อมูลเหล่านี้ยังคงความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล เนื่องจากฟีเจอร์นี้สามารถปรับเข้ากับรูปแบบการใช้งานที่ไม่ซ้ำกันของแต่ละบุคคลและมีการทดสอบที่ยืนยันได้ว่าสามารถลดการปลุกชิปประมวลผลขึ้นมาทำงานโดยไม่จำเป็นลงถึง 30% ซึ่งจะช่วยให้ชิปประมวลผลที่มีสเปกไม่สูงนักทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยรวมด้วย
New Auto Brightness
สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมเพื่อปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสมแต่มันก็เป็นวิธีตอบสนองที่ดีสำหรับผู้ใช้งานบางคนเท่านั้น ผู้ใช้งานแต่ละคนชอบความสว่างหน้าจอไม่เท่ากัน ด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า "Adaptive brightness" จะทำให้ผู้ใช้งานปรับค่าแสงสว่างด้วยตัวเองเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นระบบจะเรียนรู้การตั้งค่าดังกล่าวและช่วยปรับความสว่างให้เหมาะสมอัตโนมัติ วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับความสว่างหน้าจอที่ดีและเหมาะกับตัวเองมากขึ้น
App Actions
ปีที่แล้ว Android เปิดตัวฟีเจอร์ predictive apps ซึ่งเป็นการคาดเดาแอพ 5 อันดับแรกที่คาดว่าผู้ใช้จะเรียกใช้งานที่ด้านบนของหน้าจอรวมแอพทั้งหมด (app launcher) แต่ใน Android P ทีมงานของ Google จะเพิ่มฟีเจอร์ที่เรียกว่า "App Actions" ซึ่งเป็นแถบทางลัดเรียกคำสั่งในแอพที่ระบบคาดว่าผู้ใช้งานกำลังจะทำต่อไป ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการเชื่อมต่อกับหูฟังก็จะมีคำแนะนำสำหรับเล่นเพลงอัตโนมัติ หรือถ้าโทรศัพท์ตรวจพบว่าผู้ใช้งานอยู่ในโรงยิม ระบบอาจจะแนะนำเพลงที่เหมาะกับการออกกำลังกาย เป็นต้น
Slices
เป็นส่วนติดต่อที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ในแอพต่าง ๆ ได้โดยตรงจากระบบปฏิบัติการหรือจากการค้นหา (ใน Android P ฟีเจอร์นี้จะใช้งานได้เฉพาะในการค้นหาเท่านั้น แต่คาดว่าจะมีการขยายรูปแบบเพิ่มเติมในอนาคต) ตัวอย่างเช่นแอพ Lyft นำฟีเจอร์ที่มีในแอพมาใช้งานบนแถบการค้นหา ช่วยให้ผู้ใช้งานประมาณค่าใช้จ่ายค่าแท็กซี่ได้โดยตรงจากแถบค้นหาว่าจะต้องเสียเงินเท่าไรหากเดินทางไปที่บ้านหรือไปทำงาน
MLKit
ชุดเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเครื่องจักร (machine learning kit) เป็นวิธีเรียกใช้โปรแกรมบนอุปกรณ์แบบข้ามแพลตฟอร์มซึ่งสามารถทำงานร่วมกับทั้ง Android และ iOS ช่วยให้สามารถใช้รูปแบบการทำงานเฉพาะอย่าง อย่างเช่น ระบบจดจำใบหน้า สแกนบาร์โค้ด การระบุอัตลักษณ์รูปภาพ การตอบกลับอัตโนมัติ การค้นหาข้อมูลสถานที่และอื่น ๆ
Simplicity
การเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ผู้ใช้งานน่าจะถูกใจมากที่สุดใน Android P ก็คือการเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างที่จะทำให้ใช้งานง่ายขึ้นอีก
เริ่มจากแถบปรับระดับเสียง เมื่อกดปุ่มปรับเพิ่ม-ลดระดับเสียง จะสามารถปรับค่าเสียงของสื่อที่กำลังเล่นอยู่โดยแถบเลื่อนจะถูกย้ายจากบริเวณด้านบนมาอยู่ที่ด้านขวาเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
สองคือการหมุนหน้าจอ ใน Android P เมื่อผู้ใช้งานหมุนหน้าจอ ระบบจะแสดงปุ่มที่คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการปรับหน้าจอแบบให้แสดงในมุมมองแบบไหน (หมุนจออัตโนมัติ / แนวตั้ง / แนวนอน)
ฟีเจอร์เหล่านี้จะมีให้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม Android P โดยผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนโปรแกรมเบต้า (รุ่นทดสอบ) สามารถโหลด Android P beta มาทดลองใช้งาน* ได้แล้วที่เว็บไซต์ https://www.google.com/android/beta
*หมายเหตุ Android P beta รองรับเฉพาะอุปกรณ์ตระกูล Pixel, Sony Xperia XZ2, Xiaomi Mi Mix 2S, Nokia 7 Plus, OPPO R15 PRo, Vivo X21 และ Essential Phone เท่านั้น ส่วน Android P เวอร์ชั่นเต็ม (Final Release) คาดว่าจะถูกปล่อยมาให้ใช้งานกันในช่วงปลายปีนี้
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
ที่มา : www.blog.google วันที่ : 9 พฤษภาคม 2561
Samsung Galaxy Watch8 สมาร์ตวอทช์สุดบางของ Samsung เน้นใส่สบาย ไปด้วยได้ทุกกิจกรรม
Moto G96 สมาร์ตโฟนชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 2 ได้หน้าจอ OLED รีเฟรช 144Hz
OnePlus Pad Lite แท็บเล็ตเริ่มต้นจอ 11 นิ้ว รีเฟรช 90Hz ชิปเซ็ต Helio G100
OnePlus Watch 3 43mm สมาร์ตวอทช์ดีไซน์แบบเบาบางเรียบๆ ใช้กันยาวๆ 60 ชั่วโมง
OnePlus Nord CE5 ชูความใหญ่แบตเตอรี่ 7100mAh ผสมโรงกล้อง Sony 50MP กันสั่น OIS
OnePlus Nord 5 แอบแรงเล่น PUBG ที่ 144fps พร้อมเซนเซอร์กล้องระดับเรือธง
vivo T4 Lite 5G สมาร์ทโฟน 5G ราคาประหยัด หน้าจอ 6.74 นิ้ว 90Hz แบตฯ 6000mAh
vivo TWS Air3 Pro หูฟังไร้สาย Semi In-Ear มีตัดเสียงรบกวน ANC ปรับแต่งเสียง vivo Golden Ears
vivo X200 FE สมาร์ทโฟนไซต์ Compact สเปคแรง ได้กล้องสวยๆ แบบฉบับ ZEISS
Samsung Galaxy S26 Ultra และ S26 Edge ปรากฏข้อมูลบน IMEI อาจเปิดตัวพร้อมกันต้นปี 2026
Xiaomi Pad 7S Pro แท็บเล็ตขุมพลัง Xring O1 หน้าจอใหญ่ 12.5 นิ้ว รีเฟรช 144Hz
Tecno Pova 7 และ Pova 7 Pro ดีไซน์แสง Delta Light แบตเตอรี่จุใจ 6000mAh