ซอฟต์แวร์ (Software) | วันที่ : 24 ตุลาคม 2561
10 ปีที่แล้ว Google ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชันแรกบนสมาร์ทโฟน T-Mobile G1 และเปิดตัว Android Market (ชื่อเรียกในปัจจุบันคือ Google Play) ในวันเดียวกัน จากวันนั้นเป็นต้นมาแพลตฟอร์ม Android เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากจนขณะนี้มีอุปกรณ์ Android เปิดใช้งานอยู่จำนวนกว่า 2 พันล้านเครื่องทั่วโลก
ตัวระบบปฏิบัติการได้ผ่านการแปลงที่สำคัญหลายอย่าง โดย Android เวอร์ชั่น 1.0 ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งชื่อเรียกเป็นชื่อขนมหวานเหมือนกับเวอร์ชั่นอื่น ๆ การปรากฏตัวครั้งแรกมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ผู้คนรู้จักและชื่นชอบในปัจจุบัน เช่น การแจ้งเตือนแบบปัดเลื่อนลงมา การแชร์เนื้อหาระหว่างแอปและการทำงานหลายอย่างระหว่างแอป แต่เวลานั้นยังไม่มีฟีเจอร์ขั้นสูงอย่างเช่น การค้นหาด้วยเสียง การนำทางแบบเลี้ยวต่อเลี้ยว หรือแม้แต่ NFC ซึ่งเทียบกับตอนนี้ถือว่า Android เดินทางมาไกลมากแล้ว! แพลตฟอร์ม Android 9 Pie รุ่นล่าสุดมีฟีเจอร์เหล่านี้ทั้งหมดและสามารถใช้พลังของปัญญาประดิษฐ์เพื่อทำให้โทรศัพท์ของคุณฉลาด ใช้ง่ายและปรับตัวเข้ากับผู้ใช้งานได้มากขึ้น
เนื่องในโอกาสวันเกิดปีที่ 10 ของ Android Google จึงพาย้อนรำลึกความหลังตั้งแต่ Android เวอร์ชั่นแรกสุด การปรับปรุงที่สำคัญของแต่ละเวอร์ชั่นว่าเป็นอย่างไรตลอดระยะเวลาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
Cupcake (Android 1.5) เพิ่มแป้นคีย์บอร์ดเสมือน ปรับแต่งทางเลือกทำให้แชร์ข้อมูลง่ายขึ้น
การเปิดตัวแป้นพิมพ์เสมือนในเวอร์ชัน่นี้เป็นการเปิดประตูสู่ยุคสมาร์ทโฟน Android จอสัมผัสเต็มรูปแบบ การติดตั้งวิตเจ็ตบนหน้าจอหลักช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งอุปกรณ์ให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองซึ่งฟีเจอร์นี้ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้การแชร์ข้อมูลจากสมาร์ทโฟนยังกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วยวิธีคัดลอกและวาง การจับภาพหน้าจอ การแชร์และอัปโหลดวิดีโอ
Donut (Android 1.6) ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ จากบนสมาร์ทโฟนและเว็บไซต์ได้ง่ายดายขึ้น
ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อมกับแถบค้นหาด่วน Quick Search Box ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานหาข้อมูลจากบนสมาร์ทโฟนหรือค้นข้อมูลบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ผ่านช่องทางเดียวกันบนหน้าจอหลัก มีการออกแบบระบบค้นหาโดยเรียนรู้ว่าผลการค้นหาใดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและรวดเร็วขึ้นในครั้งต่อไปที่พิมพ์ข้อความจากแถบค้นหาด่วน นอกจากนี้ยังสนับสนุนการทำงานบนอุปกรณ์ที่มีความละเอียดหน้าจอและขนาดหน้าจอแตกต่างกันโดยกลายเป็นกฏพื้นฐานที่นำไปสู่ความหลากหลายของขนาดหน้าจอสมาร์ทโฟน Android ในทุกวันนี้
Eclair (Android 2.0+) พลิกโฉมวิธีการขับขี่รถยนต์ด้วยระบบนำทางและการใช้เสียงนำทางประกอบบน Google Maps
Google Maps ใน Android เวอร์ชั่นนี้มีฟีเจอร์นำทางแบบเลี้ยวต่อเลี้ยว ฟีเจอร์มุมมอง 3D นำทางด้วยเสียงและแสดงข้อมูลจราจร ทั้งหมดนี้ใช้งานได้ฟรี ใน Android 2.0+ Eclair ยังสามารถบันทึกข้อความด้วยเสียงพูดช่วยให้ผู้ใช้เขียนข้อความอีเมลด้วยเสียงพูดได้
แฟน ๆ บางคนอาจจะจำได้ว่า Android เวอร์ชั่นนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่หลายคนชื่นชอบอย่าง Live wallpapers หรือภาพพื้นหลังแบบเคลื่อนไหว
Froyo (Android 2.2+) การสั่งงานด้วยเสียง (Voice Actions)
ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อมความสามารถด้านเสียงในระดับที่สูงขึ้น ผู้ใช้สามารถสั่งงานระบบด้วยเสียงพูดซึ่งช่วยให้ทำงานบางอย่างได้ เช่น การค้นหาข้อมูล การข้อเส้นทาง การจดบันทึก การตั้งค่าระดับการแจ้งเตือนและอื่น ๆ
Gingerbread (Android 2.3) เพิ่มความสามารถในการจัดการแบตเตอรี่
ในเวอร์ชั่นนี้ผู้ใช้งานสามารถยืดอายุการใช้แบตเตอรี่ได้นานขึ้นโดยดูจากข้อมูลการใช้แบตเตอรี่ว่าฟังก์ชั่นหรือแอพใดที่ใช้แบตเตอรี่เยอะ ตั้งแต่ความสว่างหน้าจอไปจนถึงแอปที่เปิดใช้งานอยู่ สำหรับ Android 9 Pie เวอร์ชั่นล่าสุดนั้นมีการยกระดับการจัดการแบตเตอรี่ด้วยฟีเจอร์ Adaptive Battery ซึ่งใช้ AI เรียนรู้ว่าแอพใดที่ผู้ใช้ใช้มากที่สุดเพื่อจัดลำดับความสำคัญของแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง
Honeycomb (Android 3.0) การเพิ่มศักยภาพของ Android ให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่
เวอร์ชั่นนี้มาพร้อมภาษาการออกแบบใหม่สไตล์ Holo การปรับเค้าโครงและสนับสนุนเนื้อหาแอนิเมชั่นซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ Android เหมาะกับอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่อย่างแท็บเล็ต นอกจากนี้ยังเป็น Android เวอร์ชั่นแรกที่ออกแบบมาให้รองรับอุปกรณ์ที่มีความหลากหลายซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการนำ Android ไปใช้งานบนอุปกรณ์อื่น ๆ ในภายหลัง เช่น Android TV, Android Auto, Android Things และ WearOS by Google
Ice Cream Sandwich (Android 4.0) การทำงานที่ลื่นขึ้น
ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อมกับความเรียบง่ายและคล่องตัวเพื่อให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่าง ๆ บนสมาร์ทโฟนได้เร็วขึ้น ฟีเจอร์ใหม่อย่างเช่น โฟลเดอร์แอพ ถาดรายการโปรดและวิตเจ็ตช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาและใช้งานแอพโปรดได้ง่ายขึ้น การเพิ่มฟีเจอร์ NFC นอกจากจะเป็นยุคเริ่มของการชำระเงินผ่านมือถือแล้วยังเป็นการสร้างวิธีแชร์ข้อมูล แผนที่ วิดีโอหรือเนื้อหาต่าง ๆ จากสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องด้วยการแตะโทรศัพท์เข้าหากัน
แถบนำทางถูกปรับปรุงให้ทำงานได้มากขึ้น สามารถเข้าถึงการตั้งค่าอย่างรวดเร็ว สามารถกวาดนิ้วเพื่อปิดแอพพลิเคชั่นและการแจ้งเตือนล่าสุด ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ถูกนำมาใช้บนแท็บเล็ต Android Honeycomb ก่อนจะนำมาใช้งานบนสมาร์ทโฟน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ บน Android ซึ่งยังคงเป็นความพยายามที่ดำเนินต่อไปจนถึงวันนี้เรามีการเข้าถึงด้วยท่าทางนิ้วมือที่ง่ายขึ้นบน Android 9 Pie
Jelly Bean (Android 4.1) ผู้ช่วยฉลาดล้ำที่เรียกใช้งานได้จากบนฝ่ามือ
ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อม Google Now ซึ่งแสดงข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการในเวลาที่เหมาะสม เช่น สภาพอากาศ ข้อมูลการเดินทาง การแจ้งเตือนล่วงหน้า ซึ่งผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมหรือดำเนินการต่อได้ทันที เช่น บันทึกอีเมล ปิดการแจ้งเตือนลงชั่วคราว เป็นต้น
KitKat (Android 4.4) "OK Google..."
ในเวอร์ชั่นนี้มีการอัปเกรดความสามารถของ Google Now ให้รองรับคำสั่งเสียงได้มากขึ้นและสามารถเปิดแอพด้วยคำสั่งเสียง ส่งข้อความ ขอเส้นทางหรือแม้แต่ฟังเพลงด้วยการพูดว่า "OK Google..." ตามด้วยคำสั่ง นอกจากนี้ Android 4.4 KitKat ยังนำสีที่มีความเข้มลดลง โปร่งใสมากขึ้นซึ่งเป็นการปูพรมไปสู่ภาษาการออกแบบ "Material Design" ใน Android Lollipop
Lollipop (Android 5.0) การออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยมบน Android
ในเวอร์ชั่นนี้มีการใช้ภาษาการออกแบบ Material Design ซึ่งนำเสนอรูปลักษณ์และความรู้สึกในการใช้งานใหม่ทั้งหมด ผู้ใช้จะรู้สึกว่าใช้งานง่ายขึ้นโดย Material Design เป็นภาษาภาพที่ใช้หลักการการออกแบบที่มีความคลาสสิก เรียบง่ายและให้ความรู้สึกคุ้นเคย โดยในเวอร์ชั่นนี้อุปกรณ์ Android ต่าง ๆ จะเชื่อมถึงกันได้ราบรื่นมากขึ้นและมีช่องว่างที่ลดน้อยลงเพื่อรองรับการสลับเปลี่ยนอุปกรณ์ในระหว่างวันไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โทรทัศน์และอุปกรณ์สวมใส่
Marshmallow (Android 6.0) ความช่วยเหลือในรูปแบบของ "การแตะ"
ในเวอร์ชั่นนี้เป็นก้าวก่อนที่จะกลายเป็นผู้ช่วย Google Assistant อย่างเช่นทุกวันนี้ ฟีเจอร์ Now on Tap ซึ่งผู้ใช้สามารถแตะปุ่ม Home ค้างไว้เพื่อขอความช่วยเหลือโดยไม่ต้องออกจากแอพที่กำลังใช้งานอยู่
Android Marshmallow ยังได้นำฟีเจอร์ประหยัดพลังงานแบบใหม่ ๆ มาใช้ เช่น Doze mode ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์อยู่ในสถานะหยุดพักในขณะที่ผู้ใช้นอนหลับพักผ่อน App Standby ซึ่งจะจำกัดการเข้าถึงระบบจากแอพพลิเคชั่นที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
นอกจากนี้ Google ยังนำเสนอสิทธิการเข้าถึงเมื่อใช้งาน (run-time permissions) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้มีความเข้าใจและสามารถประเมินคำขอการเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ จากแอพพลิเคชั่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Nougat (Android 7.0) อีโมจิใหม่ ๆ เพียบ
ในเวอร์ชั่นนี้มุ่งเน้นที่การปรับปรุงวิธีการใช้งานสองแอพพร้อมกันบนหน้าจอเดียวด้วย multi-window การตอบกลับในหน้าต่างการแจ้งเตือนโดยไม่ต้องเข้าแอพ Data Saver การจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ตจากเครือข่ายมือถือบนแอพที่ทำงานเบื้องหลัง นอกจากนี้ยังเปิดตัวโหมด VR ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้รับชมคอนเทนต์ VR คุณภาพสูงจากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ การแนะนำอีโมจิใหม่กว่า 63 แบบซึ่งโฟกัสที่สิทธิของการแสดงออกทางเพศ มีสีผิวให้เลือกถึง 6 โทนสี
Oreo (Android 8.0) เมื่อขนมคุกกี้กลายเป็น Android
ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อมกับการแนะนำวิธีใช้สมาร์ทโฟนที่เจาะลึกรายละเอียดบางอย่างมากขึ้น เช่น ฟีเจอร์ picture-in-picture การเปิดแอพซ้อนทับกันในเวลาเดียวกัน Autofill การป้อนข้อมูลอัตโนมัติ Android Oreo มีความพยายามที่จะลดความยุ่งยากในการเข้าถึงฟังก์ชั่นต่าง ๆ เช่น การใช้นิ้วปัดขึ้นจากหน้าจอหลักเพื่อดูแอพทั้งหมดภายในเครื่อง
Android Oreo (Go edition) ยังเป็นแพลตฟอร์มเวอร์ชั่นแรกที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ที่มีสเปกต่ำ ผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
Pie (Android 9) บริการด้านสุขภาพ Digital Wellbeing
วิธีและระยะเวลาที่ผู้ใช้หมดไปกับสมาร์ทโฟนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ Android 1.5 Cupcake ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน Android 9 Pie ก็คือการแนะนำวิธีใหม่ในการจัดการคุณภาพชีวิตแบบดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นตัวจับเวลาการใช้งานแอพ หน้าแสดงข้อมูลการใช้งานแอพและเวลาที่คุณใช้ไปกับแอพต่าง ๆ ซึ่งใน Android 9 Pie สมาร์ทโฟนจะเรียนรู้จากผู้ใช้มากขึ้น ผู้ใช้ใช้แอพอะไรบ่อย ใช้แอพอะไรในวันธรรมดา ใช้แอพอะไรในช่วงเวลานี้ จะมี AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคาดเดาล่วงหน้าว่าผู้ใช้ต้องการอะไรเพื่อจัดลำดับความสำคัญของพลังงานแบตเตอรี่
ตั้งแต่วันแรก ๆ ของการสั่งงานด้วยเสียงพูดเพื่อแปลเป็นข้อความจนถึงวันนี้ที่สมาร์ทโฟน Android สามารถช่วยเหลือเราได้มากขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI สิ่งเหล่านี้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Google ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในแพลตฟอร์มแบบเปิดทั้งชุมชนผู้ใช้งาน คู่ค้าและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีส่วนช่วยให้ Android สามารถสร้างนวัตกรรมและนำผู้คนเข้าถึงเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟนได้อย่างเช่นปัจจุบัน
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
ที่มา : www.blog.google วันที่ : 24 ตุลาคม 2561
Google Vids ปลดล็อกพลังการสร้างวิดีโอด้วย AI บน Google Workspace
Google Messages อัปเดตใหม่! ฝัง Gemini AI คุยโต้ตอบได้เหมือน AI Chatbot โดยไม่ต้องโหลดแอปฯ เพิ่ม
Google เปิดตัว Gemini 1.5 Pro โมเดล AI ล้ำสมัย รองรับอินพุต 1 ล้านโทเคน สูงสุดในบรรดา LLM!
คุ้มไหมที่จะซื้อ? Samsung Galaxy Tab S6 Lite (2024) แท็บเล็ตโทรได้ ลำโพง Dolby ATMOS แบตฯ เยอะ
Polestar Phone เมื่อแบรนด์รถยนต์ EV เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของตนเอง สเปคจัดเต็ม!
Nothing Ear และ Nothing Ear (a) ประกาศวันเปิดตัว มีการรีเซ็ตชื่อ และมาด้วยกัน 2 รุ่น
ทำความรู้จัก OPPO A60 4G หน้าจอ 90Hz ลำโพงสเตอริโอ ชาร์จเร็ว 45 วัตต์ เริ่มต้น 5,999 บาท
OPPO และ OnePlus เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ AI อย่าง AI Eraser ทั่วโลก
realme GT Neo6 SE เปิดตัวด้วยขุมพลัง Snapdragon 7+ Gen 3 ชาร์จเร็วระดับ 100W
คุ้มไหมที่จะซื้อ? Samsung Galaxy Tab S6 Lite (2024) แท็บเล็ตโทรได้ ลำโพง Dolby ATMOS แบตฯ เยอะ
Hyundai IONIQ 6 ดีไซน์ล้ำสมัย ขับขี่ไกล 545 กม. เปิดตัวในไทยราคา 1.899 ล้านบาท
ENNXO แนะนำ 5 เครื่องรางเสริมฮวงจุ้ย ด้านโชคลาภ เงินทองและค้าขาย18 ชั่วโมงที่แล้ว