สมาร์ทโฟน (Smartphone)  |   วันที่ : 13 กันยายน 2566

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

Apple เปิดตัว iPhone 14 Series อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมจัดกลุ่มประเทศไทยอยู่ในระดับ Tier 1 หลังจากถูกลดระดับมาอย่างยาวนาน ซึ่งครั้งนี้ทำให้ iPhone ดังกล่าววางจำหน่ายในไทยเป็นกลุ่มประเทศแรก พร้อมให้จับจองเป็นเจ้าของแล้ววันที่ 16 กันยายนศกนี้ มีให้เลือกทั้งหมด 4 โมเดล แบ่งเป็น iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ซึ่งราคาแพงสูงสุดเกือบ 7 หมื่นบาท อันเป็นสาเหตุจากค่าเงินแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทที่ผ่านมา

ฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone 14 Series คือ EMERGENCY SOS VIA STELLITE

EMERGENCY SOS VIA STELLITE คืออะไร ? : สำหรับฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นฟีเจอร์ที่ไม่ใหม่ แต่มักนิยมเห็นกันเฉพาะสมาร์ทโฟนพันธุ์อึดถึกทนที่ใช้ในงานเฉพาะเท่านั้น เท่ากับนี่เป็นครั้งแรกที่นำมาใช้กับสมาร์ทโฟนทั่วไป

โดยเป็นการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกรณีฉุกเฉินได้ตลอด แม้อยู่ในพื้นที่จุดอับสัญญาณ เพื่อส่งข้อความลักษณะ SOS ไปยังหมายเลขฉุกเฉินที่บันทึกไว้ในเครื่อง ซึ่งหน้าจอจะแสดงตำแหน่งสัญญาณของดาวเทียม จากนั้นให้เราเดินเข้าหาตำแหน่งดาวเทียมพอให้สัญญาณแรง และโทรออกได้นั่นเอง

นอกจากนี้ทำงานสัมพันธ์ร่วมกับการตรวจจับเหตุรถชนอย่างรุนแรง เพื่อสามารถโทร พร้อมข้อความ SOS ได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งล่าสุด, ปริมาณแบตเตอรี่ รวมถึงข้อมูลที่จำเป็นเบื้องต้น ซึ่งทางแอปเปิ้ลระบุว่า iOS 16 ถูกพัฒนาให้ตรวจจับการกระแทกพร้อมประเมินว่านี่เป็นอุบัติเหตุรถชนได้ จากการเปลี่ยนแปลงความเร็วและทิศทางกระทันหัน, ค่าความดันในห้องโดยสาร, ระดับเสียงของการปะทะ เป็นต้น ทุกข้อมูลถูกประมวลผลและเก็บค่าวัดสำรวจจากห้องปฏิบัติการทำให้เกิดความแม่นยำและเสถียรใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตามฟีเจอร์นี้ไม่ได้ฟรี มีค่าใช้จ่าย เบื้องต้นคุณสามารถทดลองใช้งานได้ก่อน 2 ปี หลังจากนั้นมีค่าใช้จ่ายตามแพ็กเกจซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เบื้องต้นใช้งานได้เฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาก่อนเท่านั้น เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้

ฟีเจอร์ใหม่ Dynamic Island คืออะไร

สำหรับฟีเจอร์ Dynamic Island จะมีเฉพาะรุ่น iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เท่านั้น ความหมายของลูกเล่นนี้ ต้องเริ่มจากดีไซน์บนหน้าจอที่มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นรอยบากติดกับขอบหน้าจอด้านบน

ครั้งนี้ใช้เป็นการเจาะรูแทบ ซึ่งเป็นลักษณะเหลี่ยมโค้งมนกึ่งกลางหน้าจอ ด้านในเต็มไปด้วยเซนเซอร์หน้าจอและเลนส์กล้องเซลฟี่ โดยมีลูกเล่น Dynamic Island กล่าวคือ นำมาใช้ประโยชน์ในการแสดงข้อมูลที่รวดเร็วชัดเจนยิ่งขึ้น อาทิ การแจ้งเตือน, การควบคุมเพลง, การแสดงทิศทางแผนที่แบบย่อ เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้งานและควบคุมได้สะดวกรวดเร็วทั้งการกดหนึ่งครั้งหรือกดค้าง แบบ gesture นั่นเอง

ฟีเจอร์ใหม่ Always On Display คืออะไร

Always On Display มีการพัฒนาใหม่ ไม่ใช่แค่หน้าจอย่อยๆ แต่จะเต็มจอมากขึ้น มีเฉพาะในรุ่น iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เท่านั้น โดยจะมีสีสันและลูกเล่นมากกว่าเดิม แต่ยังคงแสดงข้อมูลที่จำเป็นแต่ละเอียดยิ่งขึ้น และโต้ตอบได้ดีกว่า อาทิ สภาพอากาศ, การแจ้งเตือน, ข้อความ, แชทสนทนา เป็นต้น พร้อมใช้วอลเปเปอร์, ฟอนต์, วิตเจ็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพตามอิสระที่คุณต้องการในเฉพาะ iPhone ของคุณเลย แบบที่ประหยัดแบตเตอรี่

เทคโนโลยี Photonic Engine คืออะไร

เทคโนโลยี Photonic Engine เป็นการพัฒนาถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย ซึ่งจะแยกการทำงานจะถ่ายภาพกลางคืนอย่างชัดเจน (dark environments) ทำให้มีแม่นยำเที่ยงตรงของแสงมากกว่า เนื่องจากเป็นการประมวลผลจุดพิกเซลต่อจุดพิกเซล แม้สี, เท็กเจอร์ หรือจุดรบกวนก็ลดน้อยลง ซึ่งช่วยเพิ่มแสงเลนส์ Ultra-Wide มากกว่า 3 เท่า, เลนส์กล้องหลักและเลนส์ Telephoto ดีกว่าเดิม 2 เท่า

จุดเด่นของ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus เป็นอย่างไร

สำหรับสองพี่น้อง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus วัสดุตัวเครื่องอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอากาศยาน แข็งแรงทนทาน มีมาตรฐานป้องกันน้ำป้องกันฝุ่น IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) กับ 5 เฉดสีให้เลือก ได้แก่ Midnight, Starlight, Blue, Purple และ Product(RED)

หน้าจอแสดงผลใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนมาก เมื่อเทียบกับ iPhone 13 mini และ iPhone 13 ซึ่งทั้งสองรุ่น iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ใช้หน้าจอประเภท OLED กับเทคโนโลยี Super Retina XDR - True Tone - HDR - Display P3 ที่สามารถแสดงสีสันได้สมจริงมากยิ่งขึ้น พร้อมใช้กระจกป้องกันหน้าจอแบบเซรามิก ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนและไม่เกิดรอยนิ้วมือ ทำความสะอาดหน้าจอได้ง่าย

กล้องดิจิตอลเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

Apple ได้พัฒนากล้องที่ประมวลผลภาพที่ได้ดียิ่งขึ้นในทุกสภาพแสง โดยเฉพาะพื้นที่แสงน้อย ถ่ายได้ดีสูงสุด 2.5 เท่า ของเลนส์กล้องหลัก และสูงสุด 2 เท่าของกล้องเลนส์อัลตร้าไวด์ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดยมีเซนเซอร์ใหญ่ขึ้นและรูรับแสงกว้างกว่าเดิม จึงรับแสงได้มากขึ้นถึง 49% นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Photonic Engine ทำงานบนพื้นฐาน Deep Fusion ที่จะช่วยปรับปรุงการถ่ายภาพในพื้นที่แสงน้อย เช่น ตอนกลางคืนให้สวยงานโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

โหมดการถ่ายวิดีโอใหม่ : Action Mode โดยเป็นการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ช่วยให้ป้องกันการสั่นไหวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะสั่นไหวเฉพาะจุดที่โฟกัสอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมบันทึกภาพวิดีโอได้แบบ Dolby Vision HDR ความละเอียด 4K แบบ 60 เฟรมต่อวินาที

ข้อมูลรายละเอียดกล้องหลังของทั้งสองรุ่น

  • เลนส์หลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ระยะโฟกัส 26 มม. รูรับแสง f/1.5 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical มีชุดเลนส์ทั้งหมด 7 ชิ้น
  • เลนส์ไวด์ประกอบด้วยชุดเลนส์ทั้งหมด 5 ชิ้น ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มุมมองการถ่ายภาพกว้าง 120 องศา ระยะโฟกัส 13 มม. รูรับแสง f/2.4
  • ซูมออกแบบออปติคัล 2 เท่า และซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า
  • แฟลช True Tone
  • การบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K แบบ 24/30/60 เฟรมต่อวินาที และ HDR - Dolby Vision แบบ 60 เฟรมต่อวินาที
  • โหมดภาพยนต์สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
  • วิดีโอสโลว์โมชั่นความละเอียด 1080p ที่ 120 เฟรมต่อวินาที หรือ 240 เฟรมต่อวินาที
  • วิดีโอไทม์แลปส์ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว
  • ไทม์แลปส์ในโหมดกลางคืน
  • กล้องหน้า : ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 ออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels มีชุดเลนส์ทั้งหมด 6 ชิ้น และ Retina Flash
  • กล้องหน้ารองรับการบันทึกวิดีโอ 4K/HDR - Dolby Vision, วิดีโอสโลว์โมชั่น และวิดีโอไทม์แลปส์ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว

สเปคเพิ่มเติมของ Apple iPhone 14 และ iPhone 14 Plus

  • ขนาดตัวเครื่อง :
    • 146.7 x 71.5 x 7.8 มม. -- iPhone 14
    • 160.8 x 78.1 x 7.8 มม. -- iPhone 14 Plus
  • น้ำหนัก :
    • 172 กรัม -- iPhone 14
    • 203 กรัม -- iPhone 14 Plus
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 16
  • หน้าจอแสดงผล :
    • iPhone 14 : Super Retina XDR แบบ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซล 460ppi ให้ความสว่างสูงสุด 1200 นิต อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1
    • iPhone 14 Plus : Super Retina XDR แบบ OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซล 458ppi ให้ความสว่างสูงสุด 1200 นิต อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1
  • หน่วยประมวลผล : ชิปเซ็ต Apple A15 Bionic (สถาปัตยากรรมการผลิต 5 นาโนเมตร)
  • ระบบเชื่อมต่อ : 5G, 4G LTE, WiFi 6, Bluetooth 5.3, NFC, GPS, GLONASS, เข็มทิศดิจิตอล
  • มาตรฐานป้องกันน้ำป้องกันฝุ่นระดับ IP68
  • รองรับการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe 15 วัตต์ และ Qi 7.5 วัตต์
  • เทคโนโลยีชาร์จเร็ว รองรับ และต้องซื้ออะแดปเตอร์ต่างหาก
  • รองรับไฟล์วิดีโอ : HEVC, H.264, MPEG-4 Part 2 และ Motion JPEG
  • Face Time : ความละเอียดสูงสุด FullHD (1080p)
  • ความจุพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 128GB, 256GB และ 512GB

ราคาวางจำหน่ายสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่ 9 กันยายน เวลา 19.00 และหาซื้อได้ที่ตัวแทนชั้นนำทั่วประเทศ ตามวันเวลาดังนี้ ... iPhone 14 เริ่มวางจำหน่าย 16 กันยายน 2565 และ iPhone 14 Plus เริ่มวางจำหน่าย 7 ตุลาคม 2565

ราคา iPhone 14

  • โมเดลพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 128GB : ปรับลดราคาเหลือเพียง 29,900 บาท จากราคาเดิม 32,900 บาท
  • โมเดลพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 256GB : ปรับลดราคาเหลือเพียง 33,900 บาท จากราคาเดิม 36,900 บาท
  • โมเดลพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 512GB : ปรับลดราคาเหลือเพียง 42,900 บาท จากราคาเดิม 45,900 บาท

ราคา iPhone 14 Plus

  • โมเดลพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 128GB : ปรับลดราคาเหลือเพียง 32,900 บาท จากราคาเดิม 37,900 บาท
  • โมเดลพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 256GB : ปรับลดราคาเหลือเพียง 36,900 บาท จากราคาเดิม 41,900 บาท
  • โมเดลพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 512GB : ปรับลดราคาเหลือเพียง 45,900 บาท จากราคาเดิม 50,900 บาท

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max น่าเสียดายที่ทางแอปเปิ้ลประกาศเลิกวางจำหน่ายแล้ว แต่ยังหาได้อยู่บ้างในตอนนี้ ใครที่สนใจรีบไปคว้าดาวเลย ราคาลงแน่นอน เพียงแต่ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ

แล้วมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง? วัสดุตัวเครื่องเหมือนกันคือ อะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอากาศยาน แต่กรอบตัวเครื่องเสริมด้วยสเตนเลสเกรดเดียวที่ใช้กับเครื่องมือศัลยกรรมแพทย์จึงแข็งแรงทนทานมากยิ่งขึ้น พร้อมมาตรฐานป้องกันน้ำป้องกันฝุ่น IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) กับ 4 เฉดสีให้เลือก ได้แก่ Deep Purple, Space Black, Gold และ Silver

หน้าจอแสดงผลรองรับการใช้งานฟีเจอร์ Dynamic Island และ Always ON Display แบบใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตรารีเฟรชแบบปรับได้สูงสุดที่ 120Hz โดยระบบจะปรับให้อัตโนมัติตามลักษณะการใช้งานขณะนั้น สามารถให้ความสว่างสูงสุด 1000 นิต (ทั่วไป), ความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 1600 นิต (ถ่ายภาพ HDR ) และความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 2000 นิต (กลางแจ้ง) ส่วนการออกแบบหน้าจอจะเหมือนรุ่นน้องก่อนหน้านี้

ข้อมูลรายละเอียดกล้องหลังของทั้งสองรุ่น

  • เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ระยะโฟกัส 24 มม. รูรับแสง f/1.78 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical มีชุดเลนส์ทั้งหมด 7 ชิ้น
  • เลนส์ไวด์ประกอบด้วยชุดเลนส์ทั้งหมด 6 ชิ้น ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มุมมองการถ่ายภาพกว้าง 120 องศา ระยะโฟกัส 13 มม. รูรับแสง f/2.2
  • กล้องเทเลโฟโต้ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ระยะโฟกัส 77 มม. รูรับแสงขนาด f/2.8 ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล มีชุดเลนส์ 6 ชิ้น และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
  • ซูมเข้าแบบออปติคัล 3 เท่า, ซูมออกแบบออปติคัล 2 เท่า, ช่วงซูมแบบออปติคัล 6 เท่า และซูมดิจิทัลได้สูงสุด 15 เท่า
  • แฟลช True Tone

  • การบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K แบบ 24/30/60 เฟรมต่อวินาที และ HDR - Dolby Vision แบบ 60 เฟรมต่อวินาที
  • โหมดภาพยนต์สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
  • วิดีโอสโลว์โมชั่นความละเอียด 1080p ที่ 120 เฟรมต่อวินาที หรือ 240 เฟรมต่อวินาที
  • โหมดแอ็คชั่นสูงสุด 2.8K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
  • วิดีโอไทม์แลปส์ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว
  • บันทึกวิดีโอ ProRes สูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที (1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที สำหรับความจุ 128GB)
  • ไทม์แลปส์ในโหมดกลางคืน
  • กล้องหน้า : ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 ออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels มีชุดเลนส์ทั้งหมด 6 ชิ้น และ Retina Flash
  • กล้องหน้ารองรับการบันทึกวิดีโอ 4K/HDR - Dolby Vision, วิดีโอสโลว์โมชั่น และวิดีโอไทม์แลปส์ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว

สเปคเพิ่มเติมของ Apple iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max

  • ขนาดตัวเครื่อง :
    • 147.5 x 71.5 x 7.85 มม. -- iPhone 14 Pro
    • 160.7 x 77.6 x 7.85 มม. -- iPhone 14 Pro Max
  • น้ำหนัก :
    • 206 กรัม -- iPhone 14 Pro
    • 240 กรัม -- iPhone 14 Pro Max
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 16
  • หน้าจอแสดงผล :
    • iPhone 14 : Super Retina XDR แบบ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2556 x 1179 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซล 460ppi ให้ความสว่างสูงสุด 1200 นิต อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1
    • iPhone 14 Plus : Super Retina XDR แบบ OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซล 460ppi ให้ความสว่างสูงสุด 1200 นิต อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1
  • หน่วยประมวลผล : ชิปเซ็ต Apple A16 Bionic (สถาปัตยากรรมการผลิต 4 นาโนเมตร)
  • ระบบเชื่อมต่อ : 5G, 4G LTE, WiFi 6, Bluetooth 5.3, NFC, GPS, GLONASS, เข็มทิศดิจิตอล
  • มาตรฐานป้องกันน้ำป้องกันฝุ่นระดับ IP68
  • รองรับการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe 15 วัตต์ และ Qi 7.5 วัตต์
  • เทคโนโลยีชาร์จเร็ว รองรับ และต้องซื้ออะแดปเตอร์ต่างหาก
  • รองรับไฟล์วิดีโอ : HEVC, H.264, MPEG-4 Part 2 และ Motion JPEG
  • Face Time : ความละเอียดสูงสุด FullHD (1080p)
  • ความจุพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB

ราคาวางจำหน่ายสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่ 9 กันยายน เวลา 19.00 และหาซื้อได้ที่ตัวแทนชั้นนำทั่วประเทศ ตั้งแต่ 16 กันยายน 2565

ราคา iPhone 14 Pro

  • โมเดล 128GB : 41,900 บาท
  • โมเดล 256GB : 45,900 บาท
  • โมเดล 512GB : 54,900 บาท
  • โมเดล 1TB : 63,900 บาท

ราคา iPhone 14 Pro Max

  • โมเดล 128GB : 44,900 บาท
  • โมเดล 256GB : 48,900 บาท
  • โมเดล 512GB : 57,900 บาท
  • โมเดล 1TB : 66,900 บาท

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

มือถือออกใหม่