เป็นไปตามธรรมเนียมของ Apple ที่ iPhone ของพวกเขาจะมีการปรับเปลี่ยนรูปทรงตัวเครื่องในทุกๆ 2 ปี ทำให้ iPhone 13 ที่เป็นซีรี่ย์ในปี 2021 ยังคงเหมือน iPhone 12 ในปี 2020 แต่ก็มีการขยับกล้องหลังนิดหน่อย โดยจุดวางแบบแนวทแยง ใส่เซนเซอร์กล้อง Ultra-Wide ที่ใหญ่ขึ้น และมีรอยแหว่งบนหน้าจอที่เล็กลง พร้อมกับชูจุดแข็งของพวกเขาอย่างชิปเซ็ตใหม่ A15 Bionic ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานที่ฉลาดรวดเร็วมากขึ้น แถมแบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่าเดิม 2.5 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone 12
รอบตัวเครื่อง iPhone 13 ยังคงเป็นแบบเหลี่ยมๆ โดยมีขนาดอยู่ที่ 146.7x71.5x7.65 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 173 กรัม ถือว่าเป็นขนาดที่กำลังพอดีมือ จับใช้งานได้ถนัด
iPhone 13 มีหน้าจอแสดงผล Super Retina XDR พาแนล OLED กว้าง 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532x1170 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 460ppi
เหนือหน้าจอแสดงผล ยังคงใช้ดีไซน์รอยแหว่ง แต่มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนๆ ในนั้นมีกล้องหน้า ความละเอียด 12MP และเซนเซอร์ TrueDepth เพื่อการใช้งาน FaceID ทั้งนี้ตรงขอบหน้าจอด้านบนยังมีลำโพง Stereo และไมโครโฟน
ล่างหน้าจอแสดงผล iPhone 13 ไม่มีปุ่ม Home แบบฮาร์ดแวร์ โดยการสั่งการเป็นแบบ Gesture ในหน้าจอแสดงผล
ข้างซ้ายตัวเครื่อง บนสุดเป็นปุ่ม Toggle เพื่อสลับโหมดเสียง (ปรับเปลี่ยนได้ภายหลัง) ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มเสียง และลดเสียง ล่างสุดคือช่องใส่ถาดซิมการ์ด โดยถาดเป็นแบบ Nano SIM 1 ช่อง ส่วนอีกซิมเป็นรูปแบบ eSIM
ข้างขวาตัวเครื่อง iPhone 13 เป็นปุ่มพักหน้าจอแสดงผล หรือเรียกใช้งาน Siri ด้วยการกดค้าง
ส่วนบนตัวเครื่อง ไม่มีพอร์ต หรือปุ่มการใช้งานใดๆ
ส่วนล่างตัวเครื่อง ตรงกลางเป็นพอร์ต USB Lightning พร้อมกับไมโครโฟนในตัว และลำโพงเสียง Stereo อีก 1 ตัว
พลิกมาที่ฝาหลังตัวเครื่อง iPhone 13 มุมบนซ้ายเป็นโมดูลกล้องหลังแบบสี่เหลี่ยม ในนั้นมีกล้องหลัง 2 ตัว คือเลนส์ Wide ความละเอียด 12MP และเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12MP ถูกจัดวางเป็นแนวทแยง นอกจากนี้ยังมีไฟแฟลช และไมโครโฟนอยู่บนโมดูล ส่วนตรงกลางฝาหลังเป็นโลโก้ Apple
อุปกรณ์ภายในกล่อง
สเปคของ iPhone 13
ระบบปฏิบัติการ
iPhone 13 จะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15 ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่มาพร้อมฟีเจอร์ และฟังก์ชั่นใหม่ๆ มากมาย และยังมีการทำงานที่รวดเร็วมากขึ้น (ล่าสุดที่รีวิวมีการอัปเดตเป็น 15.0.2)
หน้าจอหลัก
หน้าจอหลักยังเหมือน iOS รุ่นก่อนๆ โดยยังมีไอคอนแอพฯ เป็นแบบสี่เหลี่ยมขอบมน มีแถบรวมแอพฯ อยู่หน้าสุดท้าย และแอพฯ ทั้งหมดที่ดาวน์โหลดเพิ่มมาจะอยู่ในหน้าจอหลักทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถดูการแจ้งเตือน และ Control Center ด้วยการปัดหน้าจอด้านบนลง
Wallpaper และ Widget
Widget ยังสามารถเพิ่มได้ในหน้าจอหลัก ด้วยการกดค้างในพื้นที่วางของหน้าจอหลัก และกดเครื่องหมาย + ทางมุมบนซ้าย ส่วน Wallpaper ก็ไปปรับเปลี่ยนได้ที่ การตั้งค่า > Wallpaper ซึ่ง iOS 15 จะมี Wallpaper ใหม่เพิ่มเข้ามาทั้งแบบนิ่ง และแบบ Live
การแจ้งเตือน
iOS 15 จะมีการปรับปรุงในส่วน การแจ้งเตือน ซึ่งมีการแสดงไอคอนแอพฯ และรูปภาพของผู้ติดต่อ และจัดลำดับพร้อมสรุปการแจ้งเตือนให้เหมาะกับผู้ใช้งาน
โหมดมืด
เพื่อการใช้งานในที่แสงน้อยได้อย่างสบายตา iPhone 13 ก็ยังคงมีโหมดมืด มาให้ใช้งาน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนธีมเป็นสีดำ และใช้ตัวหนังสือสีขาว ทั้งนี้ยังเป็นการประหยัดแบตเตอรี่ในตัว เพราะหน้าจอของ iPhone 13 เป็นพาแนล OLED
โหมดโฟกัส
iOS 15 จะมาพร้อมโหมดโฟกัส ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะมีการปิดการแจ้งเตือน หรืออนุญาตให้แจ้งเตือนเฉพาะที่ต้องการเท่านั้น โดยโหมดโฟกัสจะมีให้เลือก 4 แบบคือ ห้ามรบกวน, ส่วนบุคคล, ทำงาน, และนอนหลับ
ข้อความในภาพ
ความว้าวของ iOS 15 ยังไม่หมด เพราะมาพร้อมฟังก์ชั่น ข้อความในภาพ ช่วยให้ผู้ใช้งาน ก็อปปี้ข้อความจากในภาพได้ทันที หรือจะใช้แปลภาษาจากข้อความในภาพก็ได้เช่นกัน แต่เบื้องต้นจะใช้ได้ 7 ภาษาคือ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน โปรตุเกส และสเปน ซึ่งผู้ใช้งานต้องปรับภาษาของเครื่องเป็นภาษาเหล่านี้จึงจะใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้ (แนะนำให้ปรับเป็นภาษาอังกฤษ)
Memoji เลือกเสื้อผ้าได้
Memoji มีให้เลือกปรับแต่งหลากหลายมากขึ้น และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือ การเลือกเสื้อผ้าให้ตัว Memoji เพื่อเพิ่มความสนุก และความหลากหลายมากขึ้น
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
ใช้วัสดุเซรามิก และกล้องแนวทแยง
iPhone 13 ตัวเครื่องยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม ด้วยการใช้วัสดุ Caramic Shield และใช้ดีไซน์ขอบแบนเหมือนกล่องสี่เหลี่ยม ซึ่งตรงขอบก็มีความทนทานไม่แพ้กัน และตัวเครื่องยังได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 อีกด้วย สำหรับ iPhone 13 จะมีให้เลือกด้วยกัน 4 สีคือ สีชมพู, สี่น้ำเงิน, สีมิดไนท์, สีสตาร์ไลท์, และสีแดง (Red Product)
ทั้งนี้ความโดดเด่นของ iPhone 13 อีกอย่างจะอยู่ที่การจัดวางกล้องหลัง โดยมีการจัดวางเป็นแนวทแยง บนโมดูลสี่เหลี่ยม ซึ่งแตกต่างจาก iPhone 12 ที่จัดวางเป็นแนวตั้ง
หน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED
iPhone 13 มาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED ซึ่งมีความสว่างขึ้น 28% ปรับความสว่างได้สูงสุด 1,200nits บนคอนเทนด์ HDR ซึ่งความแตกต่างของสีขาว และสีดำจะเห็นได้ชัด ด้านสีสันก็สดตามฉบับพาแนล OLED ให้ขอบเขตสีที่กว้าง และแม่นยำ ส่วนความละเอียดก็คมชัดเพราะมีจำนวนพิกเซลหนาแน่น จากที่ทดลองใช้ก็พบว่า ภาพ วิดีโอ ข้อความต่างๆ ดูชัดเจนเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ iPhone 13 ยังใช้รอยแหว่งแบบ Notch Design แต่จะมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อน ทำให้หน้าจอมีการแสดงผลที่มากขึ้น
ชิปเซ็ตใหม่ A15 Bionic
iPhone 13 มาพร้อมชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง A15 Bionic ซึ่งมีความแรง และความฉลาดมากขึ้น ทำให้การใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เล่นเกม, ดูหนังฟังเพลง, ท่องเว็บไซต์, เล่นแอพฯ สังคมออนไลน์, แอพพลิเคชั่นต่างๆ หรือการใช้งานกล้องถ่ายรูป จะมีความลื่นอย่างมาก ซึ่งจากที่ทดสอบใช้ก็ ก็เป็นไปตามฉบับ iPhone ให้ประสบการณ์ความลื่นแบบสุดๆ ที่เป็นจุดเด่นของพวกเขามานานแล้ว
ทดสอบการเล่นเกม
เรื่องการเล่นเกมบน iPhone 13 ยังให้ประสบการณ์แบบจัดเต็มเช่นเคย และรอบนี้ที่มาพร้อมชิปเซ็ต A15 Bionic ซึ่งมีความแรงกว่าเดิมอย่างมาก ทั้ง CPU และชิปกราฟฟิก จากที่ทดสอบใช้งานเกม PUBG Mobile ก็สามารถปรับกราฟฟิกได้แบบสุดๆ ถึง Ultra HD และในการเล่นก็มีความลื่นไร้ปัญหา
เกม Genshin Impact ถือว่าเป็นเกมที่กินทรัพยากรค่อนข้างเยอะ แต่การเล่นบน iPhone 13 ถือว่าเอาอยู่ เมื่อปรับแบบกราฟฟิกในระดับสูง เฟรมเรต 60fps ระบบก็ยังบอกว่าไม่ตึงเครื่องจนเกินไป แต่เอาจริงๆ ก็แนะนำให้ปรับเป็นสมดุล เฟรมเรต 30fps จะดีกว่า เล่นได้ยาวๆ ไม่เกิดความร้อนมากจนเกินไป
รองรับสัญญาณ 5G
การรับสัญญาณ 5G ของ iPhone 13 จะมีความพิเศษกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ เพราะมีระบบการรับความเร็วที่เหมาะกับการใช้งาน ทำให้ไม่ใช้งานแบตเตอรี่มากจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีย่านความถี่ 5G ที่ครอบคลุม ทำให้รับสัญญาณ 5G ได้หลายพื้นที่
FaceID
FaceID มีการทำงานที่เร็วขึ้น ด้วยชิปเซ็ต A15 Bionic และยังจำได้สูงสุด 2 ใบหน้าเหมือนเดิม ซึ่งจากที่ทดสอบใช้งาน ก็ถือว่ารวดเร็วแม่นยำตามฉบับกล้อง TrueDepth สามารถใช้งานได้ดีทั้งที่มีแสงสว่าง และที่มืด รวมไปถึงสแกนได้แม่นยำแม้ว่าจะใส่หมวก หรือใส่แว่นตา
แบตเตอรี่
iPhone 13 สามารถใช้งานได้นานขึ้นถึง 2.5 ชั่วโมง หากเทียบกับ iPhone 12 นอกจากนี้ยังสนับสนุนการชาร์จเร็วผ่านสาย 20W ชาร์จไร้แบบ MagSafe 15W และไร้สายแบบ Qi 7.5W แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการแถมเคส MagSafe และไม่มีอะแดปเตอร์มาให้ ซึ่งต้องซื้อแยกเองต่างหาก
กล้องถ่ายรูป
แม้ว่า iPhone 13 จะมีกล้องหลัง 2 เลนส์เหมือน iPhone 12 แต่มารอบนี้จะรับแสงได้ดีขึ้น ซึ่งเลนส์ไวด์ ความละเอียด 12MP มีการรับแสงได้มากขึ้นถึง 47% ช่วยในการถ่ายวิดีโอ และถ่ายภาพนิ่ง ส่วนอีกเลนส์เป็น Ultra-Wide ความละเอียด 12MP ถ่ายมุมกว้างได้ 120 องศา และการถ่ายภาพในที่มืดจะเห็นรายละเอียดได้มากขึ้น ส่วนกล้องหน้า หรือกล้อง TrueDepth ก็ยังมีความละเอียด 12MP เท่าเดิม แต่สามารถใช้ฟังก์ชั่นของกล้องหลังได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกวิดีโอได้สูงสุด 4K ที่ 60fps แบบ HDR Dolby Vision
การถ่ายภาพปกติ
การใช้งานกล้องบน iPhone 13 จะเน้นให้ใช้งานเพียงกดชัตเตอร์ ซึ่งเป็นแบบนี้มานานแล้ว โดยระบบต่างๆ จะทำการปรับแต่งภาพให้แบบอัตโนมัติ และง่ายต่อการใช้งาน อย่างเช่นอยู่ในสภาวะแสงน้อย จะใช้งานโหมดมืดให้ทันที
สไตล์ภาพถ่าย
สไตล์ภาพถ่าย เป็นโหมดที่มีการทำงานคล้ายๆ การเปลี่ยนฟิลเตอร์ แต่จะมีความฉลาดมากกว่า เพราะช่วยลดแสงสีแต่ยังเก็บความเป็นธรรมชาติของนาย/นางแบบได้อย่างสวยงาม โดยมีให้เลือก 5 แบบ Standard , Rich Contrast , Vibrant , Warm และ Cool สามารถเลื่อนปรับโทนได้ตามใจชอบ ใครชอบโทนไหนก็ปัดหน้าจอเลื่อนได้เลย
โหมดมุมกว้าง
โหมดมุมกว้างจะใช้กล้องหลังเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12MP ซึ่งเปิดมุมกว้างได้ถึง 120 องศา และสามารถใช้งานร่วมกับโหมดกลางคืนได้ ทั้งภาพนิ่ง และการบันทึกวิดีโอ
โหมดกลางคืน
โหมดกลางคืนจะเริ่มใช้งานให้แบบอัตโนมัติ เมื่อต้องการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย หรือผู้ใช้งานจะเลือกปรับโหมดด้วยตัวเองก็ได้เช่นกัน หากเลือกปรับให้มีการประมวลผลนานขึ้น ก็จะได้ภาพที่สวย สว่าง และสีสันที่สวยงามมากขึ้น
Portrait หรือภาพบุคคล
การเบลอพื้นหลังในโหมด Portrait ถือว่า iPhone 12 ทำได้ดีอยู่แล้ว ส่วนใน iPhone 13 ก็ทำได้ดียิ่งขึ้น ด้วยความฉลาดของชิปเซ็ต A15 Bionic และซอฟแวร์ ทำให้มีการตัดส่วนพื้นหลัง กับส่วนหน้าได้อย่างเนียน ทั้งนี้ยังคงใช้งานเอฟเฟคแสงไฟได้ปกติทั้ง แสงธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีแบบโมโน, และ HIGH-KEY Light MONO
การใช้งานกล้องหน้า
การใช้งานกล้องหน้า ปกติจะใช้งานโหมดต่างๆ ได้น้อย แต่สำหรับ iPhone 13 สามารถใช้งานโหมดต่างๆ ของกล้องหลังได้ด้วย โดยไม่ว่าจะเป็น โหมดภาพยนต์, สไตล์ภาพถ่าย, บันทึกวิดีโอแบบ HDR, ภาพเซลฟี่ตอนกลางคืน, HDR อัจฉริยะ, Deep Fusion เป็นต้น
บันทึกวิดีโอ Cimenatic Mode
การถ่ายวิดีโอแบบ HDR ในแบบ Dolby Vision มีการทำงานที่ดีขึ้น เผยรายละเอียดในส่วนย้อนแสงได้ดี แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ Cimenatic Mode ที่มีการจุดโฟกัสให้แบบอัจฉริยะ สลับซูมส่วนหน้าหลังได้เอง ให้ความรู้สึกเหมือนถ่ายทำภาพยนตร์จริงๆ
ข้อมูลผู้ใช้ร่วมแสดงความเห็นกับ : iPhone 13
https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=465372
แคตตาล็อกตัวเครื่อง iPhone 13
จอ OLED 10-bit
1188 x 2790 พิกเซล
กล้องหน้า 16MP
Qualcomm Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core
Android 13
RAM 8 GB
ROM 256 GB
4,310 mAh
ชาร์จไว 33W
nubia Flip สมาร์ทโฟน หน้าจอ 6.9 นิ้ว Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core ราคา 19,990 บาท