www.siamphone.com
หมวดอื่นๆ (Other) | วันที่ : 31 สิงหาคม 2559
Dell เผยผลการรายงานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เกี่ยวกับการศึกษาทั่วโลกที่จัดทำโดยไอดีซี บริษัทวิเคราะห์ชั้นนำโดยมีเดลล์เป็นผู้สนับสนุนการจัดทำ ซึ่งผลการศึกษาเน้นให้เห็นความเกี่ยวข้องอย่างจริงจังระหว่างนวัตกรรมไอทีและผลลัพธ์ทางธุรกิจขององค์กรธุรกิจในภูมิภาคดังกล่าว การศึกษาจัดทำขึ้นโดยมีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 2,500 คนจาก 11 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นให้เห็นถึงการปรับปรุงธุรกิจที่สามารถวัดผลได้ 8 ประการ ทั้งนี้เป็นผลจากการนำระบบไอทีที่พร้อมรองรับอนาคตมาใช้ โดยมีการติดตามผลเป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปี 2015ทั้งนี้ในการจัดอันดับ ไอดีซี ได้จัดให้ 16 เปอร์เซ็นต์ของบริษัททั้งหมด เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบัน (Current Focused) ส่วนอีก 32 เปอร์เซ็นต์ เป็นองค์กรที่ตระหนักถึงอนาคต (Future Aware) โดยหนึ่งในสามของกลุ่มนี้เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นที่อนาคต (Future Focused) ในขณะที่อีก 18 เปอร์เซ็นต์ เป็นองค์กรผู้สร้างอนาคต (Future Creators) โดยกลุ่มองค์กรผู้สร้างอนาคตนั้นเป็นองค์กรที่มีความพร้อมรับอนาคตมากที่สุด และเป็นผู้นำเรื่องของการใช้แพลตฟอร์มที่ให้ความคล่องตัว รวมถึงบิ๊กดาต้า ส่วนองค์กรที่มุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ยังคงมุ่งเน้นที่การใช้ระบบไอทีแบบดั้งเดิมหรือยังอยู่ในช่วงแรกของการเดินทางสู่เทคโนโลยี
โซลูชันคลาวด์ ช่วยให้ใช้ระบบโครงสร้างพื้นทางและทรัพยากรด้านข้อมูลได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ตามเอกสาร White Paper ยังพบว่าหน่วยงานด้านธุรกิจที่อยู่ในองค์กรที่มุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบัน ไม่สามารถใช้กลยุทธ์ด้านไอทีบนคลาวด์ได้ แต่ใช้ซอฟต์แวร์เชิงการบริการ (SaaS) รวมถึง แพลตฟอร์มเชิงการบริการ (PaaS) และระบบโครงสร้างพื้นฐานเชิงการบริการ (IaaS) เป็นส่วนๆ แทน ในทางกลับกัน ผู้สร้างอนาคต สามารถเก็บรักษาแคตตาล็อก รวมถึงทำการตรวจสอบ รักษาความปลอดภัยและควบคุมข้อมูลผ่านคลาวด์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขององค์กร “ผู้สร้างอนาคต” แจ้งว่าการนำคลาวด์มาใช้ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในธุรกิจได้ และหลายองค์กรพบว่าสามารถใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรด้านข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เหล่านี้ ช่วยให้ผู้ตอบแบบสอบถามหลายรายสามารถติดตามการใช้งานและประสิทธิภาพการทำงานได้ นำไปสู่การเพิ่มผลิตผลทางธุรกิจและได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทั่วทั้งองค์กรตัวอย่างขององค์กร “ผู้สร้างอนาคต” ที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้ เพื่อช่วยให้ใช้ทรัพยากรไอทีและข้อมูลได้อย่างเต็มประโยชน์ ก็คือโรงพยาบาลสมิติเวช ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ให้บริการดูแลสุขภาพในประเทศไทย โดยมีเครือข่ายด้านการอำนวยความสะดวกและมีมืออาชีพด้านการดูแลสุขภาพจำนวน 3,000 คนไว้คอยให้บริการ โรงพยาบาลสมิติเวช ออกเดินทางสู่ความพร้อมสำหรับอนาคตด้วยการอัพเกรดระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที เช่นดาต้า เซ็นเตอร์ สตอเรจ คลาวด์ คอมพิวติ้ง และระบบกู้คืนข้อมูลหรือ Data Recovery ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ช่วยให้สถาบันแห่งนี้สามารถนำเสนอบริการแก่คนไข้ได้คุ้มค่าใช้จ่ายยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น
ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบควบรวม ช่วยให้ใช้สินทรัพย์ธุรกิจและไอทีได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ
ระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบผสมผสาน กลายเป็นสิ่งที่เพิ่มความซับซ้อนและนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงขึ้น เสียเวลามากขึ้นในการบริหารจัดการและดูแลรักษาระบบ อีกทั้งยังทำให้ส่งมอบการบริการได้ช้าลง และเมื่อองค์กรขยายใหญ่ขึ้น เทคโนโลยีใหม่มักจะทำงานไม่เข้าขากับระบบโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่ใช้อยู่ ต้องมีการอัพเกรดแบบรื้อถอนหรือเปลี่ยนใหม่ ทำให้ต้องเรียนรู้ระบบใหม่มากขึ้นและไม่สามารถระบุช่วงเวลาคืนทุนที่แน่นอนได้ ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น “ผู้สร้างอนาคต” ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เน้นให้เห็นถึงประโยชน์หลัก 4 ประการที่องค์กรได้รับจากการใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์ คอนเวิร์จ ได้แก่เรื่องของการใช้ทรัพยากรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พนักงานไอทีทำงานได้ผลิตผลมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่องของความคล่องตัวที่เพิ่มมากขึ้นและมีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้นในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานตามการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้ใช้มุมมองเชิงลึกเพื่อพัฒนาไปสู่ความพร้อมสรรพสำหรับอนาคต
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นชัดเจน การนำเทคโนโลยีล้ำหน้าที่ให้ความพร้อมสำหรับอนาคตมาใช้ช่วยให้ได้รับประโยชน์ทางธุรกิจ แต่องค์กรที่มีการวางโครงสร้างเพื่อให้พร้อมสำหรับอนาคตมากที่สุด ก็คือองค์กรที่เป็นผู้สร้างอนาคต ซึ่งก็จะได้รับประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน การนำเทคโนโลยีเช่น คลาวด์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบควบรวม (Converged Infrastructure) และระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (BDA) มาใช้ ก็จะทำให้องค์กรทุกขนาดธุรกิจสามารถเปลี่ยนไอทีให้กลายเป็นกลไกในการขับเคลื่อนธุรกิจได้ในเชิงรุก และได้รับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน เดลล์ ยังได้เผยผลการศึกษาเรื่องคนทำงานแห่งอนาคต the Future Workforce Study โดยมีเดลล์และอินเทลร่วมสนับสนุนในการจัดทำ ทั้งนี้ผลการศึกษาระบุว่าแนวโน้มเทคโนโลยีโลกกำลังเปลี่ยนโฉมสถานที่ทำงานสมัยใหม่ โดยแสดงให้เห็นว่าพนักงานหลายคนเชื่อว่าสถานที่ทำงานปัจจุบันใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีล่าสุดอย่างไม่มีประสิทธิภาพ แต่ก็คาดหวังให้พนักงานเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากหลายคนมองว่าการทำงานจากนอกสถานที่ทำงานได้ เป็นการให้ประโยชน์ทั้งในแง่ของคุณภาพชีวิตและผลิตผลของงาน
การศึกษาเรื่องสถานที่ทำงานแห่งอนาคตประจำปี 2016 (Future Workforce Study) เป็นการสำรวจความคิดเห็นจากพนักงานที่ทำงานเต็มเวลาเกือบ 4,000 คน จากองค์กรธุรกิจขนาดเล็ก กลางและใหญ่ ใน 10 ประเทศ โดยเผยว่ากว่าครึ่ง (57 เปอร์เซ็นต์) ของพนักงานทั้งหมดเชื่อว่าตัวเองจะได้ทำงานกับออฟฟิศที่มีความสมาร์ทภายใน 5 ปีข้างหน้า ในขณะที่อีก 51 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดีขึ้นจะทำให้การประชุมแบบที่ต้องมาพบปะเจอหน้ากลายเป็นเรื่องซ้ำซ้อนเกินความจำเป็นในอีก 5 ปีข้างหน้า
ที่มา : www.dell.co.th วันที่ : 31 สิงหาคม 2559
NEW MG4 ELECTRIC ขึ้นแท่นรถอีวียอดนิยมในประเทศไทย15 ชั่วโมงที่แล้ว
vivo Y18e มือถือราคาประหยัดรุ่นใหม่ล่าสุด รอลุ้นเข้าไทยในราคาไม่เกิน 4,000 บาท17 ชั่วโมงที่แล้ว
ASUS ส่ง Vivobook S 14 และ S 16 OLED ปรับโฉมใหม่รุ่นล่าสุด พร้อมวางจำหน่าย23 ชั่วโมงที่แล้ว
รวมข่าวลือ iPad Air 2024 (Gen 6th) เพิ่มทางเลือกหน้าจอ 12.9 นิ้ว เร็วแรงขึ้นด้วยชิป M24 พ.ค. 67 16:41
Apple ลั่นกลองประกาศกิจกรรม 7 พ.ค. 2024 คาดส่ง iPad รุ่นใหม่ อาจเห็น Apple Pencil รุ่น 3 มาด้วย4 พ.ค. 67 16:32
realme Narzo 70x 5G และ realme Narzo 70 5G หน้าจอ 120Hz แบตเตอรี่ 5000mAh ชาร์จเร็ว 45W
realme GT Neo6 SE เปิดตัวด้วยขุมพลัง Snapdragon 7+ Gen 3 ชาร์จเร็วระดับ 100W
Moto G64 5G สมาร์ทโฟนรุ่นแรกใช้ Dimensity 7025 พร้อมกล้อง 50MP กันสั่น OIS
Redmi Note 13 Pro+ World Champions Edition รุ่นพิเศษฉลองแชมป์