ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องการพื้นที่บนโลกออนไลน์ การทำการตลาดผ่าน
Search Engine อย่าง Google จึงกลายเป็นกลยุทธ์หลักที่ขาดไม่ได้ ซึ่งหากพูดถึงการโปรโมตเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่าการ
ทำ SEO และ SEM อยู่บ่อยครั้ง แต่เชื่อว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังแยกไม่ออกว่าทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับเป้าหมายของธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณมาเทียบชัด ๆ พร้อมแนะนำแนวทางเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละประเภท
การทำ SEO คืออะไร ?
SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ถูกหลักเกณฑ์ของ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาแบบ ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา การทำ SEO จะเน้นการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ ปรับคอนเทนต์ รวมถึงสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้เยี่ยมชม เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับให้อยู่ในหน้าแรกของ Google ตามคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
ข้อดีของการทำ SEO
- ช่วยเพิ่มการมองเห็นในระยะยาว
- ประหยัดงบโฆษณา
- สร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์
ข้อจำกัดของการทำ SEO
- ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลชัดเจน (3-6 เดือน หรือมากกว่านั้น)
- ต้องอาศัยความต่อเนื่องในการปรับปรุงคอนเทนต์และเว็บไซต์
SEM คืออะไร ?
SEM (Search Engine Marketing) คือ การทำการตลาดผ่าน Search Engine ด้วยการซื้อพื้นที่โฆษณา หรือที่หลายคนคุ้นกันในชื่อ Google Ads โดยเว็บไซต์จะขึ้นแสดงผลในตำแหน่งบนสุดของหน้าการค้นหาแบบเสียเงินตามจำนวนคลิก (PPC : Pay Per Click)
ข้อดีของ SEM
- เห็นผลรวดเร็วทันทีหลังลงโฆษณา
- เลือกกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียด (อายุ เพศ พื้นที่ ความสนใจ ฯลฯ)
- เหมาะกับแคมเปญเร่งยอดหรือช่วงเปิดตัวสินค้า
ข้อจำกัดของ SEM
- มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องตามจำนวนคลิก
- เมื่อหยุดลงงบโฆษณา เว็บไซต์จะหายไปจากตำแหน่งโฆษณาทันที
การทำ SEO vs SEM ต่างกันอย่างไร ?
แล้วควรเลือกทำแบบไหนดี ?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและงบประมาณของธุรกิจ
- หากต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงในระยะยาว เพิ่มฐานลูกค้าผ่าน Organic Traffic การทำ SEO จะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
- หากต้องการยอดขายหรือ Traffic แบบทันใจ เช่น ช่วงโปรโมชัน หรือเปิดตัวสินค้าใหม่ SEM จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
หรือจะเลือกทำควบคู่กันทั้ง SEO และ SEM ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่หลายแบรนด์นิยม เพราะช่วยเสริมพลังกันได้ดี ทั้งสร้างยอดขายทันที และวางรากฐานระยะยาวไปพร้อมๆ กัน
สรุป
การทำ SEO และ SEM ต่างก็มีข้อดี-ข้อจำกัดเฉพาะตัว การเลือกใช้จึงควรพิจารณาจากจุดประสงค์หลักของธุรกิจในแต่ละช่วงเวลา หากบริหารจัดการทั้งสองเครื่องมือได้อย่างเหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณติดอันดับหน้าแรก Google ได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในโลกออนไลน์