ผู้ประกอบการหลายๆ คน ที่ธุรกิจเริ่มไปได้ไกล โดยเฉพาะผู้ที่ทำธุรกิจที่ต้องจัดส่งสินค้าทั้งในและต่างประเทศ การตัดสินใจว่าจะตั้งแผนกขนส่งสินค้าเอง (In-house Logistics) หรือใช้บริการจากบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ภายนอก (Outsourced Logistics) กลายเป็นคำถามสำคัญที่หลายธุรกิจต้องพิจารณา เนื่องจากในแต่ละแนวทางก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป
เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นภาพการทำงานด้านการขนส่ง และตัดสินใจได้ว่า ควรเลือกใช้บริษัทขนส่งโลจิสติกส์หรือควรเลือกจัดตั้งแผนกขนส่งเอง บทความนี้จะมาบอกถึงข้อดีข้อเสียของทั้งสองรูปแบบเพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 1. การตั้งแผนกขนส่งสินค้าเอง (In-house Logistics)
ข้อดี
-
- ควบคุมได้เบ็ดเสร็จ : การจัดตั้งแผนกขนส่งขึ้นมาเอง ธุรกิจสามารถควบคุมกระบวนการขนส่งได้เองทั้งหมด ตั้งแต่การเลือกยานพาหนะ เส้นทาง การบรรจุหีบห่อ และการฝึกอบรมพนักงาน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนหรือแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
- สร้างความเชี่ยวชาญภายใน : พนักงานมีความรู้ความเข้าใจในสินค้าและกระบวนการของธุรกิจเป็นอย่างดี สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าได้ดีกว่า
- ความยืดหยุ่นในการปรับตัว : สามารถปรับขนาดหรือรูปแบบการขนส่งได้ตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจ โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากผู้ให้บริการภายนอก
- รักษาความลับทางธุรกิจ : ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการขนส่งและข้อมูลลูกค้าจะอยู่ภายในองค์กร ทำให้ลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล
ข้อเสีย
-
- ลงทุนสูง : ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการซื้อหรือเช่ายานพาหนะ อุปกรณ์คลังสินค้า ระบบซอฟต์แวร์ และการจ้างพนักงาน
- ต้นทุนคงที่สูง : ไม่ว่าจะมีคำสั่งซื้อมากหรือน้อย ธุรกิจก็ยังคงต้องแบกรับภาระต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเสื่อมยานพาหนะ ค่าจ้างพนักงาน และค่าบำรุงรักษา
- ความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการ : ต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการบุคลากร การบำรุงรักษายานพาหนะ การปฏิบัติตามกฎหมาย และความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ
- ขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง : อาจขาดความเชี่ยวชาญในด้านโลจิสติกส์ที่ซับซ้อน เช่น การขนส่งระหว่างประเทศ การจัดการสินค้าอันตราย หรือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
- ไม่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก : ธุรกิจขนาดเล็กที่มีปริมาณการขนส่งไม่มากนัก การลงทุนในแผนกขนส่งเองอาจไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
2. การเลือกใช้บริษัทขนส่งโลจิสติกส์จากภายนอก (Outsourced Logistics)
ข้อดี
-
- ลดต้นทุนการลงทุน: ธุรกิจไม่ต้องลงทุนในยานพาหนะ คลังสินค้า และระบบซอฟต์แวร์ ทำให้ประหยัดเงินทุนจำนวนมาก และสามารถนำไปลงทุนในส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจได้
- ลดต้นทุนคงที่: ค่าใช้จ่ายจะผันแปรตามปริมาณการใช้งาน ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ง่ายกว่า และสามารถบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เข้าถึงความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยี: บริษัทขนส่งโลจิสติกส์ภายนอกมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีเครือข่ายที่กว้างขวาง และมีการลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งธุรกิจสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้ทันที
- เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพ: ผู้ให้บริการมืออาชีพมักมีกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐาน มีการจัดการที่เป็นระบบ และมีบุคลากรที่มีประสบการณ์ ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและคุณภาพสูง
- ความยืดหยุ่นในการปรับขนาด: สามารถเพิ่มหรือลดขนาดการให้บริการได้ตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจ้างงานหรือการลงทุนเพิ่มเติม
- ลดความเสี่ยง: ผู้ให้บริการภายนอกจะรับผิดชอบความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง เช่น ความเสียหายของสินค้า การสูญหาย หรือความล่าช้า
- มุ่งเน้นธุรกิจหลัก: ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นทรัพยากรและเวลาไปที่ธุรกิจหลักของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องเสียสมาธิกับการบริหารจัดการโลจิสติกส์
ข้อเสีย
-
- ควบคุมได้น้อยลง: ธุรกิจมีอำนาจในการควบคุมกระบวนการขนส่งน้อยลง เนื่องจากต้องพึ่งพาการทำงานของผู้ให้บริการภายนอก
- ความเสี่ยงจากการพึ่งพา: หากผู้ให้บริการมีปัญหาในการดำเนินงาน อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง
- การสื่อสารและประสานงาน: ต้องมีการสื่อสารและประสานงานกับผู้ให้บริการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานเป็นไปตามความต้องการ
- ความลับทางธุรกิจ: อาจต้องมีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนให้กับผู้ให้บริการ ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล
แบบไหนตอบโจทย์กับธุรกิจมากกว่ากัน?
คงไม่มีคำตอบตายตัวว่าแบบไหนจะดีที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการของแต่ละธุรกิจ ดังนี้
ขนาดของธุรกิจและปริมาณการขนส่ง
- ธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง หรือมีปริมาณการขนส่งไม่สม่ำเสมอ: การใช้บริการโลจิสติกส์จากภายนอกมักจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะช่วยลดภาระการลงทุนและต้นทุนคงที่ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการปรับขนาดการใช้งาน
- ธุรกิจขนาดใหญ่ มีปริมาณการขนส่งที่สม่ำเสมอและจำนวนมาก: การตั้งแผนกขนส่งเองอาจคุ้มค่าในระยะยาว หากมีการวางแผนและบริหารจัดการที่ดี เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนและคุณภาพได้เอง
ลักษณะของสินค้าและธุรกิจ
- สินค้าที่มีความซับซ้อน ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ (เช่น สินค้าอันตราย สินค้าแช่แข็ง) หรือต้องการการขนส่งแบบเฉพาะเจาะจง: บริษัทขนส่งโลจิสติกส์ภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ มักจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
- ธุรกิจที่ต้องการความลับและความปลอดภัยสูง: การจัดการภายในอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อควบคุมข้อมูลและกระบวนการอย่างใกล้ชิด
เงินทุนและทรัพยากร
- หากธุรกิจมีข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากร การใช้บริการโลจิสติกส์จากภายนอกเป็นทางเลือกที่ช่วยลดภาระการลงทุนเริ่มต้นได้ดี
- หากธุรกิจมีเงินทุนและทรัพยากรเพียงพอ และต้องการควบคุมทุกกระบวนการ การลงทุนในแผนกขนส่งเองก็เป็นไปได้
ความเชี่ยวชาญหลักของธุรกิจ
- หากธุรกิจไม่ต้องการให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์เป็นแกนหลัก และต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ การใช้บริการโลจิสติกส์จากภายนอกจะช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสกับสิ่งที่ตนเองถนัดได้ดีขึ้น
การตัดสินใจว่าจะตั้งแผนกขนส่งเองหรือใช้บริการโลจิสติกส์จากภายนอกนั้น ควรพิจารณาจากปัจจัยเฉพาะของธุรกิจอย่างรอบคอบ ทั้งขนาดธุรกิจ ลักษณะสินค้า เงินทุน รวมถึงเป้าหมายทางธุรกิจ อีกทั้งการเลือกพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและสร้างความได้เปรียบในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย