หูฟัง Earbuds (Earbuds) | วันที่ : 14 พฤษภาคม 2558
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ต้องยอมรับว่ากระแสเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่นั้น มีความก้าวหน้าและร้อนแรงไม่แพ้ทางฝั่งสมาร์ทโฟนเลยที่เดียว ซึ่งหลังจากทาง Google ได้ชิงเปิดตัว Android wear ระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ลงสู่ตลาดโลกได้ไม่นาน คู่แข่งคงสำคัญอย่าง Apple ก็ไม่นิ่งนอนใจจัดการส่ง Apple Watch ลงท้าชิงทันทีในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาด Wearable Technology กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง และเชื่อว่าอาจมีหลายๆ คนเริ่มลังเลใจและสงสัยว่า Apple Watch และ Android Wear นั้น มีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ดังนั้นบทความนี้จะพาดู 6 สิ่งที่ทาง Android Wear ทำได้แต่ Apple Watch ไม่สามารถทำได้กัน
เริ่มกันที่อย่างแรก "Costom Watch Face"
"ความอิสระ" อาจเป็นภาพลักษณ์ที่ทาง Google จับใส่มาใน Android OS มาโดยตลอด และใน Android Wear เอง Google ก็ยังคงไม่ลืมนิยามนี้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งแรกที่ทางด้าน Android Wear ทำได้ดีกว่า Apple Watch คือ ความสามารถในการปรับแต่งหน้าปัดเรือนนาฬิกาได้หลากหลาย และตรงความต้องการมากกว่าทางด้านของ Apple Watch
แต่ Apple Watch ก็สามารถปรับแต่งหน้าปัดนาฬิกาได้เช่นกัน เพียงแต่อาจมีความหลากหลายไม่เท่า Android wear เท่านั้นเอง (ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน)
Always On
Always On เป็นโหมดเปิดการแสดงผลของหน้าจออัตโนมัติ ซึ่งเมื่อเรานำแขนลง ตัวนาฬิกาจะยังคงแสดงผลบนหน้าจอตลอดเวลาเหมือนใส่นาฬิกาทั่วๆ ไป แต่จะเป็นการแสดงผลที่เน้นไปที่สีดำมากที่สุด ในขณะที่สีอื่นๆ จะเป็นการแสดงผลแบบเลือนราง เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่
ซึ่งโหมดการใช้งานนี้มีเฉพาะใน Android wear เท่านั้น ส่วนทาง Apple Watch นั้น ยังไม่มีการใช้งานในโหมดนี้ โดยเมื่อนำแขนลง หรือนำตัวนาฬิกาออกห่าง หน้าจอแสดงผลจะดับลงทันที
WiFi network
การรองรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต หรือออนไลน์ผ่านการเชื่อมต่อ WiFi นั้น เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทาง Android wear สามารถทำได้ แต่ทาง Apple Watch ยังไม่รองรับการใช้งานในจุดนี้ ซึ่งการรองรับการใช้งานผ่าน WiFi ได้ นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้งานมีความคล่องตัวในการใช้งานต่อได้ทันที เมื่อไม่ได้นำสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วย และแน่นอนว่า Apple Watch ยังไม่รองรับการใช้งาน WiFi Network
Draw Emotions
Android wear สามารถวาดรูปไอคอนแสดงอารมณ์ เพื่อใช้เป็นคีย์ลัดในการเรียก Emotions ที่ใกล้เคียงมาใช้งานได้ แต่ในขณะที่ Apple Watch ไม่สามารถทำได้ แต่ก็มี Emotions แบบ 3D ให้ใช้งานแทน อันนี้คงต้องขึ้นกับความชอบของผู้ใช้งานส่วนตัว
Wrist-gesture Controls
บนระบบปฏิบัติการ Android wear เวอร์ชั่นใหม่ 5.1.1 ได้มีการเพิ่มความสามารถในการสั่งการตัว Wearable ให้สามารถใช้งานฟังก์ชั่น Gesture Controls ได้ หรือก็คือเราสามารถสั่งการตัว Android wear ด้วยท่าทางได้ เช่น การหมุนข้อมือ เพื่อเรียกแถบแจ้งเตือน เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าฟังก์ชั่นนี้ยังไม่มีให้เห็นใน Apple Watch (ในอนาคตไม่แน่อาจได้เห็น)
Pattern Lock Screen
สำหรับสิ่งสุดท้ายนี้คือ การเลือกล็อคหน้าจอแบบ Pattern หรือที่รู้จักกันในรูปแบบการลากเส้นไปยังจุดต่างๆ ที่เรากำหนดไว้ เพื่อปลดล็อคหน้าจอนั้นเอง โดยการใช้งานในโหมดนี้ จะใช้งานได้บน Android wear เวอร์ชั่นใหม่ 5.1.1 เท่านั้น ในขณะที่ทาง Apple Watch ตอนนี้ยังทำได้แค่ Lock Screen ด้วย Pin Code เท่านั้น
ราคา!
สำหรับ Android wear นั้น มีวางจำหน่ายให้เลือกซื้อไปใช้งาน ด้วยกันหลากหลายรุ่นหลากหลายแบรนด์ และแน่นอนว่าหลากหลายราคาด้วยเช่นกัน เนื่องจากความเป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิด จึงทำให้มีผู้ผลิตหลายแบรนด์สามารถนำ Android wear ไปพัฒนาต่อยอดในแบบตัวเองได้ฟรีตามเงื่อนไขของ Google รวมไปถึงสามารถทำราคาวางจำหน่ายได้ไม่สูงมากด้วย ซึ่งมีตั้งแต่ราคาหลักร้อยปลายๆ จนไปถึงราคาหลักหมื่นต้นๆ เลยทีเดียว
ในขณะที่ทางด้าน Apple Watch นั้น เพิ่งวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปเมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศโซนยุโรปและเอเชียบางประเทศเท่านั้น แต่กระแสตอบรับจากผู้ใช้งานทั่วโลกนั้นจัดว่า ร้อนแรงเป็นอย่างมาก โดยมียอดจอง Pre-Order แบบถล่มถลาย ซึ่งทาง Apple วางจำหน่าย Apple Watch ในราคาเริ่มต้นที่หลักหมื่นปลายๆ จนไปถึงหลักแสนเลย
อย่างไรก็ดีทั้งหมดนี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อแตกต่างของ Android wear และ Apple Watch เท่านั้น ซึ่ง Wearable ทั้งสองนี้ต่างก็มีความสามารถและคุณสมบัติพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน แต่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตาม OS ดังนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่า หากตอนเลือกซื้อเพื่อนำมาใช้งานนั้น ส่วนตัวแล้วชื่นชอบแบบไหน และอย่างไหนสามารถตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของเราได้ดีกว่ากันมากกว่า
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
ที่มา : mashable.com วันที่ : 14 พฤษภาคม 2558
HMD Fusion สมาร์ทโฟนที่สามารถปรับแต่งและซ่อมเองได้ด้วยมือคุณ!
สรุปจุดเด่นและสเปค OPPO Pad 3 Pro หน้าจอ 144Hz ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3 ลำโพง 8 ตัว แบตฯ 9510mAh
Blackview Active 10 Pro มาแล้ว! แท็บเล็ต 5G แบตฯ อึด กล้องเทพ ลดแรงแค่ 7 วันเท่านั้น!
iQOO Neo 10 Series สเปคเทพ กล้องสวย ดีไซน์โดนใจ เปิดตัว 29 พฤศจิกายนนี้
vivo Y300 5G หน้าจอ AMOLED-120Hz ทนน้ำทนฝุ่น IP64 ชาร์จเร็ว 80W ลำโพง Hi-Res
LAVA Yuva 4 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ราคาประหยัด สเปคคุ้มค่าเกินราคา
รีวิว HONOR 200 Smart 5G คุ้มค่าเกินราคา สุดยอดสมาร์ทโฟนสำหรับคนชอบลุย17 ชั่วโมงที่แล้ว