EV (Electric Vehicle)  |   วันที่ : 4 มีนาคม 2568

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งานมากขึ้น แต่เมื่อมีตัวเลือกรถ EV หลากหลายแบรนด์และหลายรุ่นในตลาด คำถามที่ผู้ซื้อมักสงสัยคือ ควรเปรียบเทียบรถไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ด้านไหนบ้างก่อนตัดสินใจซื้อ? ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูว่าต้องเปรียบเทียบรถไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ด้านไหนบ้างเพื่อให้ได้รถที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของคุณมากที่สุด

1. ระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเปรียบเทียบรถไฟฟ้ารุ่นต่างๆ รถ EV ในปัจจุบันมีระยะทางเฉลี่ยตั้งแต่ 250 กิโลเมตรไปจนถึงมากกว่า 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่และเทคโนโลยีของแต่ละรุ่น
ตัวอย่างระยะทางของรถ EV ยอดนิยม:

  • Tesla Model 3 Long Range: 676 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP)
  • BYD Seal: 570 กิโลเมตร
  • Hyundai IONIQ 5: 507 กิโลเมตร
  • ORA Good Cat 500 Ultra: 500 กิโลเมตร

หากคุณใช้งานในเมืองอาจไม่จำเป็นต้องเลือกรถที่มีระยะทางสูงมากนัก แต่หากต้องเดินทางไกลบ่อยครั้งหรืออยู่ในพื้นที่ที่สถานีชาร์จยังมีจำกัด รถที่วิ่งได้ระยะไกลขึ้นจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

2. สมรรถนะของรถ รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มีเพียงจุดเด่นด้านพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมสมรรถนะที่เหนือกว่ารถยนต์สันดาปในหลายด้าน การพิจารณาสมรรถนะของรถควรดูที่

  • อัตราเร่ง (0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) – รถบางรุ่น เช่น Tesla Model S Plaid สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 2.1 วินาที ซึ่งเทียบเท่ากับซูเปอร์คาร์ระดับสูง
  • กำลังมอเตอร์ (แรงม้า - HP) – หากต้องการขับขี่ที่ทรงพลัง ควรเลือกใช้รถที่มีแรงม้าสูง เช่น BMW i4 M50 หรือ Porsche Taycan
  • ระบบขับเคลื่อน – ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) เหมาะกับการขับขี่ที่ต้องการความมั่นคงมากขึ้น

3. ระบบชาร์จไฟและเวลาในการชาร์จ แม้ว่าระยะทางต่อการชาร์จจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่เวลาในการชาร์จก็เป็นสิ่งที่ต้องเปรียบเทียบรถไฟฟ้ารุ่นต่างๆ เช่นกัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการชาร์จ ได้แก่

  • กำลังไฟฟ้าที่รองรับ (kW) – บางรุ่นรองรับการชาร์จเร็ว เช่น Hyundai IONIQ 5 ที่รองรับ 800V DC Fast Charging สามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ภายใน 18 นาที
  • ประเภทของหัวชาร์จ – ควรตรวจสอบว่าสถานีชาร์จที่คุณใช้รองรับหัวชาร์จของรถหรือไม่ เช่น CCS2, CHAdeMO
  • เวลาชาร์จที่บ้าน – หากต้องการชาร์จที่บ้าน ควรตรวจสอบว่ารองรับ AC Charging กี่กิโลวัตต์ และต้องใช้เวลากี่ชั่วโมงในการชาร์จเต็ม

4. เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย รถ EV ส่วนใหญ่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่ารถยนต์ทั่วไป ซึ่งควรพิจารณาคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้

  • ระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ เช่น Tesla Autopilot, BYD DiPilot หรือ Nissan ProPILOT
  • ระบบอินโฟเทนเมนต์ รองรับ Apple CarPlay, Android Auto และแอปพลิเคชันควบคุมระยะไกล
  • ระบบความปลอดภัย เช่น Adaptive Cruise Control, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, กล้อง 360 องศา

การเลือกซื้อรถที่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณจะช่วยให้การขับขี่สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

5. ราคาและค่าดูแลรักษา แม้ว่ารถ EV จะมีต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่ารถยนต์น้ำมัน แต่ควรพิจารณาเรื่องราคาซื้อและค่าดูแลรักษาระยะยาวด้วย

  • ราคาเริ่มต้น – รถ EV มีช่วงราคาที่หลากหลาย เช่น ORA Good Cat ที่เริ่มต้นประมาณ 8 แสนบาท ไปจนถึง Tesla Model S Plaid ที่มีราคาสูงกว่า 5 ล้านบาท
  • ค่าบำรุงรักษา – โดยทั่วไป รถ EV มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำกว่ารถยนต์สันดาป แต่ต้องคำนึงถึงค่าประกันแบตเตอรี่และค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ในอนาคต

ก่อนตัดสินใจซื้อรถ EV ควรเปรียบเทียบรถไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ทั้งด้านระยะทางต่อการชาร์จ, สมรรถนะ, ระบบชาร์จ, เทคโนโลยี และค่าใช้จ่ายระยะยาว เพื่อให้ได้รถที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด อย่าลืมทดลองขับเพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงก่อนตัดสินใจ เพราะบางครั้งตัวเลขบนกระดาษอาจไม่สามารถสื่อถึงความรู้สึกเมื่อขับขี่ได้ทั้งหมด

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

มือถือออกใหม่