องค์กร (Corporate)  |   วันที่ : 30 มิถุนายน 2568

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

ในยุคที่อีคอมเมิร์ซเฟื่องฟู การส่งของออนไลน์ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจของผู้ประกอบการขายสินค้าออนไลน์ การเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยให้สินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจด้วย ซึ่งในปัจจุบัน มีผู้ให้บริการส่งของออนไลน์มากมาย ตั้งแต่ผู้ให้บริการรายใหญ่ไปจนถึงแพลตฟอร์มที่รวบรวมตัวเลือกการขนส่งไว้ในที่เดียว บทความนี้จะมาแนะนำ 5 ผู้ให้บริการที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการจัดส่งสินค้า พร้อมวิเคราะห์ข้อดีและราคาโดยประมาณ เพื่อช่วยให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถตัดสินใจเลือกคู่ค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน

1.  ShipAny ShipAny ไม่ใช่ผู้ให้บริการขนส่งโดยตรง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมบริการขนส่งชั้นนำไว้ในที่เดียว ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ประกอบการออนไลน์

  • ข้อดี 
    • เปรียบเทียบราคาได้ทันที: สำหรับการส่งของออนไลน์ หากผู้ประกอบการสามารถเปรียบเทียบราคาและบริการจากผู้ขนส่งหลายราย (เช่น Kerry, Flash, J&T, Best Express, DHL ฯลฯ) ได้ในแพลตฟอร์มเดียว จะช่วยลดเวลาการทำงานไปได้มาก ทั้งยังทำให้สามารถเลือกตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด
    • ประหยัดเวลา: ไม่ต้องเสียเวลาเข้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของผู้ขนส่งแต่ละราย
    • จัดการคำสั่งซื้อในที่เดียว: สามารถสร้างใบปะหน้าพัสดุ ติดตามสถานะ และจัดการคำสั่งซื้อทั้งหมดได้ในระบบเดียว
    • ส่วนลดพิเศษ: ShipAny มักจะมีข้อเสนอและส่วนลดพิเศษจากผู้ขนส่งที่เข้าร่วม ทำให้ได้ราคาที่ถูกกว่าการติดต่อผู้ขนส่งโดยตรง
    • รองรับการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: สามารถเชื่อมต่อกับร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Shopify, Lazada, Shopee ทำให้การจัดการคำสั่งซื้อเป็นไปอย่างราบรื่น
  • ราคาโดยประมาณ : ShipAny ไม่มีราคาจัดส่งเป็นของตัวเอง แต่จะแสดงราคาจากผู้ขนส่งแต่ละรายที่ร่วมมือกัน ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับผู้ขนส่งที่คุณเลือกใช้บริการผ่านแพลตฟอร์ม ShipAny โดยอาจมีส่วนลดเพิ่มเติมจากราคาปกติของผู้ขนส่งนั้นๆ

2. Kerry Express Kerry Express ยังคงเป็นผู้นำตลาดด้านการขนส่งพัสดุในประเทศไทย ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศและบริการที่หลากหลาย ทำให้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งของออนไลน์ 

  • ข้อดี 
    • ความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือ: Kerry ขึ้นชื่อเรื่องการจัดส่งที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ สามารถส่งถึงภายในวันถัดไป (Next-Day Delivery)
    • เครือข่ายครอบคลุม: มีสาขาและจุดบริการรับพัสดุจำนวนมากทั่วประเทศ ทำให้การเข้าถึงสะดวกสบาย
    • บริการเสริม: มีบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) และประกันพัสดุ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจออนไลน์
    • ระบบติดตามพัสดุ: ลูกค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุได้แบบเรียลไทม์ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
  • ราคาโดยประมาณ : ราคาเริ่มต้นประมาณ 25-30 บาทสำหรับพัสดุขนาดเล็กในพื้นที่เดียวกัน และจะเพิ่มขึ้นตามขนาด น้ำหนัก และระยะทาง สำหรับพัสดุขนาดกลางถึงใหญ่ ราคาอาจอยู่ที่ 40-100+ บาท โดยมีโปรโมชั่นและราคาพิเศษสำหรับลูกค้าธุรกิจที่มีปริมาณการส่งสูง

3. Flash Express Flash Express เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่นิยมของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการส่งของออนไลน์ ด้วยจุดเด่นด้านราคาที่เข้าถึงง่ายและบริการที่ยืดหยุ่น

  • ข้อดี 
    • ราคาประหยัด: Flash Express มักจะมีราคาที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะสำหรับพัสดุขนาดเล็กถึงกลาง ทำให้ช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสำหรับผู้ประกอบการ
    • เข้ารับพัสดุถึงที่ (Pick-up Service): บริการนี้เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ต้องการเสียเวลาเดินทางไปส่งพัสดุด้วยตนเอง
    • บริการทุกวัน: เปิดให้บริการ 365 วัน ไม่มีวันหยุด ทำให้การจัดส่งไม่มีสะดุด
    • ระบบจัดการพัสดุ: มีระบบจัดการพัสดุสำหรับธุรกิจที่ค่อนข้างครบครัน
  • ราคาโดยประมาณ: ราคาเริ่มต้นประมาณ 22-25 บาทสำหรับพัสดุขนาดเล็กในพื้นที่เดียวกัน และเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักและขนาด สำหรับพัสดุที่มีน้ำหนักมากขึ้น ราคาอาจอยู่ที่ 35-80+ บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและระยะทาง

4. J&T Express J&T Express เป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดขนส่งพัสดุออนไลน์ ด้วยบริการที่ครอบคลุมและนวัตกรรมใหม่ๆ

  • ข้อดี 
    • เข้ารับพัสดุถึงที่: มีบริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้านหรือสำนักงาน ซึ่งสะดวกสำหรับผู้ประกอบการที่มีปริมาณพัสดุมาก
    • บริการครอบคลุม: มีเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศและมีบริการส่งทุกวัน
    • ระบบเทคโนโลยี: พัฒนาระบบติดตามพัสดุและแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย
    • การขยายเครือข่าย: ขยายจุดบริการและศูนย์คัดแยกอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับปริมาณพัสดุที่เพิ่มขึ้น
  • ราคาโดยประมาณ: ราคาเริ่มต้นประมาณ 25-30 บาทสำหรับพัสดุขนาดเล็ก และจะเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักและขนาด สำหรับพัสดุขนาดกลางถึงใหญ่ ราคาอาจอยู่ที่ 40-90+ บาท

5. ไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) แม้จะเป็นผู้ให้บริการดั้งเดิม แต่ไปรษณีย์ไทยยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการส่งของออนไลน์ที่มีความหลากหลายของบริการและเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล

  • ข้อดี 
    • ความน่าเชื่อถือ: เป็นองค์กรของรัฐที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ยาวนาน
    • เครือข่ายที่กว้างขวางที่สุด: มีจุดบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงพื้นที่ห่างไกลที่ผู้ให้บริการเอกชนบางรายอาจเข้าไม่ถึง
    • บริการที่หลากหลาย: มีบริการ EMS (ส่งด่วน), ลงทะเบียน, พัสดุธรรมดา, และบริการอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน
    • ราคาที่เข้าถึงได้: บริการบางประเภทมีราคาที่ประหยัด โดยเฉพาะพัสดุธรรมดาและลงทะเบียน
  • ราคาโดยประมาณ 
    • EMS: เริ่มต้นประมาณ 32 บาทสำหรับพัสดุขนาดเล็ก ส่งถึงภายใน 1-3 วันทำการ
    • ลงทะเบียน: เริ่มต้นประมาณ 18 บาทสำหรับพัสดุขนาดเล็ก ใช้เวลาประมาณ 3-7 วันทำการ
    • พัสดุธรรมดา: เริ่มต้นประมาณ 20 บาท (ราคาถูกที่สุดแต่ใช้เวลานานที่สุด)

แต่ในการเลือกผู้ให้บริการส่งของออนไลน์ที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประเภทสินค้า ขนาดและน้ำหนักของพัสดุ งบประมาณ ความเร่งด่วนในการจัดส่ง รวมถึงความต้องการด้านบริการเสริมต่างๆ การทำความเข้าใจข้อดีและราคาของแต่ละผู้ให้บริการจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของคุณ 

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

มือถือออกใหม่