ข่าวต่างประเทศ วันที่ : 17 พฤศจิกายน 2555
ปัญหาที่บรรดาผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต มือใหม่ต่างประสบพบเจอมีอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจวิธีการใช้งาน, การขาดความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีมือถือและแท็บเล็ตนั้นเติบโตขึ้นอย่างมาก จนกล้าพูดได้ว่าคนที่ไม่ตามเทคโนโลยี เมื่อเริ่มจับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตครั้งแรก จะมีอาการมึนๆ ออกมาเหมือนกัน และคำถามที่ถามกันบ่อยมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือ "มันเล่นเน็ตได้มั๊ย" เพราะนอกจากเราจะมีมือถือไว้ใช้โทรศัพท์, ส่งข้อความ, ดูนาฬิกา, จดบันทึก ฯลฯ แล้ว เรื่องที่ดึงดูดให้คนสนใจคงจะหนีไม่พ้นโลกของ "โซเชียลเน็ตเวิร์คและอินเทอร์เน็ต" แต่หลายคนมักจะงงว่า แล้วจะทำอย่างไรอุปกรณ์มือถือหรือแท็บเล็ตของคุณสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ?
บทความนี้จึงขออธิบายให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมือใหม่ได้เข้าใจถึง "Mobile Internet", "Wi-Fi", "3G" ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างมากและถือเป็นเรื่องที่ควรรู้อย่างยิ่ง
Mobile Internet
เรารู้กันดีว่า "Internet" หรืออินเทอร์เน็ตในภาษาไทยคือการเชื่อมโยงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือโน็ตบุ๊คเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ผู้ใช้สามารถท่องเว็บไซต์, ดูคลิปบน Youtube, เล่น Facebook, Chat ผ่านโปรแกรมสนทนาได้อย่างสะดวก ซึ่งสำหรับอุปกรณ์คอมนั้นต้องใช้สาย LAN (Local Area Network) หรือไม่ก็ผ่านเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN) โดยภายในอุปกรณ์คอมนั้นต้องมีอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณเช่น LAN Card, Wireless Card มาทำหน้าที่รับ-ส่งข้อมูลที่เราต้องการมาให้กับอุปกรณ์คอม
เมื่ออินเทอร์เน็ตกลายเป็นที่นิยม จึงมีผู้ริเริ่มพัฒนามือถือที่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ในตัว ซึ่งคำว่า "Mobile Internet" ก็เลยหมายถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่นั่นเอง
ในมือถือที่เล่นอินเทอร์เน็ตได้ยุคแรกๆ นั้นใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า "WAP" (Wireless Application Protocal) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือได้เสมือนกับเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เพียงแต่หน้าตาอาจจะไม่สวยงามเหมือนกับเปิดอินเทอร์เน็ตบนเครื่องคอมพิวเตอร์
ในสมัยที่ WAP ยังเป็นที่นิยมนั้น มาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบใหม่ ๆ ถูกกำหนดขึ้น มามากมายไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี HSCSD (High Speed Circuit Switching Data), GPRS (General Packet Radio Service อย่าสับสนกับคำว่า GPS นะครับไม่เหมือนกัน), EDGE (Enhanced Data Rate for GPRS Evolution) ทั้งหมดที่เอ่ยถึงนั้นยังอยู่ในยุคก่อนจะมี 3G ทั้งสิ้น และในปัจจุบันก็ยังเปิดให้บริการอยู่บนอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานซิมการ์ดเช่น ฟีเจอร์โฟน, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต (ที่มีซิมการ์ด) โดยจะคิดค่าบริการตามเงื่อนไขที่ทางผู้ให้บริการเครือข่ายได้กำหนดไว้
Wi-Fi
เมื่อเวลาผ่านไปเทคโนโลยีอีกอันหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นและนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ก็คือ "Wi-Fi" (Wireless-Fidelity) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คล้ายกับ EDGE/GPRS เพียงแต่ว่าจะมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลมากกว่า และรูปแบบการใช้งานนั้นก็คล้ายกับการเชื่อมต่อ Wireless LAN ของอุปกรณ์คอมหรือโน๊ตบุ๊คนั่นเอง
เทคโนโลยี Wi-Fi ก็มีการพัฒนามาตรฐานของตัวเองไปเรื่อยๆ เช่นกัน โดยเราจะสังเกตได้จากตัวเลขบอกมาตรฐานของ Wi-Fi เช่น IEEE 802.11b, 802.11a, 802.11g, 802.11e, 802.11i, 802.11n ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถใช้งาน Wi-Fi ด้วยความเร็วที่มากขึ้น, ไกลขึ้น, สัญญาณ Wi-Fi สม่ำเสมอมากขึ้น, ความปลอดภัยข้อมูลเยอะขึ้นนั่นเอง
การสังเกตว่าอุปกรณ์มือถือ-อุปกรณ์เคลื่อนที่ของคุณรองรับ Wi-Fi หรือไม่ สามารถดูได้จากข้อใดข้อหนึ่งด้านล่าง
***อุปกรณ์บางชิ้น (น้อยมากๆ) อาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อใช้รับ-ส่งสัญญาณ Wi-Fi เนื่องจากไม่มีตัวรับ-ส่งสัญญาณ Wi-Fi ภายในตัว
การเปิดใช้งาน Wi-Fi บนอุปกรณ์มือถือ/แท็บเล็ตนั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยอุปกรณ์แต่ละชิ้นจะมีวิธีการเปิดใช้งานแตกต่างกัน เช่น แตะไอคอน Wi-Fi เพื่อเปิดใช้ หรือไปที่ Menu การเชื่อมต่อเพื่อเปิดใช้งาน Wi-Fi เป็นต้น
การใช้งาน Wi-Fi นั้นเริ่มแรกนิยมใช้ภายในบ้าน, ออฟฟิต หรือร้านอาหาร, ร้านกาแฟ ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน Wi-Fi บนอุปกรณ์มือถือได้แล้ว ระบบจะทำการค้นหา "สัญญาณ Wi-Fi" ที่เดินทางมาถึงอุปกรณ์เครื่องนั้น และให้ผู้ใช้เป็นคนเลือกว่าจะใช้งานเครือข่าย Wi-Fi อันไหน ซึ่งอาจจะมีรหัสผ่านสำหรับเข้าใช้งาน (หรืออาจจะไม่มี ขึ้นอยู่กับเครือข่าย Wi-Fi นั้นตั้งค่าไว้อย่างไร)
เมื่อเข้าใช้งาน Wi-Fi ได้ ก็สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เช่นเดียวกับอุปกรณ์คอมฯ และสามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นบางอย่างที่ต้องใช้บริการอินเทอร์เน็ตถึงจะใช้งานได้ เช่น Facebook, Twitter, Whatsapp, LINE MSN, Google+, เบราว์เซอร์
ในขณะที่เทคโนโลยี Wi-Fi พัฒนาขึ้น ก็มีการนำ Wi-Fi ไปใช้ตามจุดต่างๆ นอกเหนือจากภายในบ้าน เช่น ในห้างสรรพสินค้า, ในสถานที่จัดงานขนดใหญ่ หรือแม้กระทั่งในชุมชน หรือในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก ก็มีการตั้งตัวกระจายสัญญาณ Wi-Fi ไว้ในหลายๆ จุด ในกรุงเทพก็มี Bangkok Wi-Fi, หรือในใจกลางเมืองก็มีบริการ Free Wi-Fi โดยทางผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละเจ้านิยมทำโปรโมชั่น Free Wi-Fi เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้งานเครือข่ายของตน
3G
เมื่อมี Wi-Fi แล้วจะมี 3G ไปทำไม ? ก็เพราะว่า Wi-Fi นั้นเป็นการเชื่อมต่อในระยะไม่ไกลนัก เมื่อเราต้องเดินทางในระยะไกลเป็นกิโลเมตร สัญญาณ Wi-Fi จะส่งไปไม่ถึง และถ้าจะให้สัญญาณ Wi-Fi ครอบคลุมทุกจุด ต้องตั้งเสาสัญญาณ Wi-Fi อีกเยอะมากซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ดังนั้นเทคโนโลยี 3G จึงได้เข้ามาแทนที่ โดย 3G จะมีรัศมีในการส่งสัญญาณเป็นระยะทางในหลักกิโลเมตร โดยมีความเร็วในการรับ-ส่งสัญญาณน้อยกว่า Wi-Fi แต่ก็มากกว่า EDGE/GPRS
การสังเกตว่าอุปกรณ์มือถือ/แท็บเล็ตหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ของคุณรองรับ 3G หรือไม่ ต้องมีองค์ประกอบดังนี้
*** บางรุ่นอาจจะต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพื่อให้ใช้งานซิมการ์ดได้ (ไม่มีช่องใส่ซิมการ์ดในตัว)
การเปิดใช้งาน 3G (package data) นั้นมีค่าใช้จ่าย โดยผู้ให้บริการจะเรียกเก็บโดยอ้างอิงจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้บนซิมการ์ด มีค่าบริการและแพคเกจราคาที่แตกต่างกัน (โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากผู้ให้บริการเครือข่ายโดยตรง) โดยผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละเจ้าในประเทศไทยนั้นใช้คลื่นความถี่ 3G ที่แตกต่างกัน จึงต้องดูรายละเอียดสเปคเครื่องให้แน่ชัดว่ารองรับ 3G ที่ึความถี่ใดบ้าง (850, 900, 1800, 1900, 2100MHz)
การใช้งาน 3G บนมือถือ-แท็บเล็ตผ่านซิมการ์ดนั้นใช้ซิมแบบธรรมดาทั่วไป แต่จะมีซิมการ์ดบางอันเป็นแบบ Net SIM (Internet SIM) ซึ่งอาจจะมีหมายเลขโทรศัพท์หรือไม่มีก็ได้ โดย Net SIM ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือหรือผ่าน AirCard โดยเฉพาะ และ Net SIM บางอันก็ใช้โทรศัพท์ได้ บางอันก็ใช้เล่นอินเทอร์เน็ตได้อย่างเดียวเท่านั้น
วิธีเปิดใช้งาน 3G บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต นั้นคล้ายกับการเปิดใช้งาน Wi-Fi แต่ต่างกันที่ไม่ต้องใส่รหัสผ่าน โดยผู้ใช้ต้องเข้าไปที่เมนูการจัดการเครือข่ายและการเชื่อมต่อ และทำการเปิดใช้งานเครือข่ายมือถือ 3G (Package data)
เมื่อเข้าใช้งาน 3G ได้ ก็สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เช่นเดียวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi แต่ต่างกันตรงที่ 3G มีการคิดค่าบริการและมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมมากกว่านั่นเองครับ และถ้าตั้งค่าเครือข่ายอัตโนมัติไว้บนมือถือ-แท็บเล็ต เมื่อเล่นอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 3G อ่อนมากๆ ระบบค้นหาสัญญาณในโทรศัพท์มือถือ-แท็บเล็ตก็จะนำเทคโนโลยี EDGE/GPRS มาใช้เล่นอินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติครับ
สรุปสั้นๆ คือ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตส่วนใหญ่มักจะถูกติดตั้งตัวรับสัญญาณ Wi-Fi มาให้ในตัว เพื่อให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายอย่างสะดวก แต่การเลือกใช้เครือข่าย Wi-Fi (ที่บ้าน, ที่ทำงาน, ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ) นั้นเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ที่ต้องเข้าไปตั้งค่าและใส่รหัสผ่าน
ส่วนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตทีั่รองรับสัญญาณ 3G ได้นั้นจะต้องสามารถใส่ซิมการ์ดเพื่อเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการเครือข่าย และเรียกใช้งานบริการข้อมูล 3G (package data) ซึ่งโดยทั่วไปมือถือ-แท็บเล็ตที่รองรับ 3G จะมีราคาตัวเครื่องสูงกว่าแบบรองรับ Wi-Fi เพียงอย่างเดียว เนื่องจากรุ่น 3G จะมีทั้งตัวรับสัญญาณ 3G และตัวรับสัญญาณ Wi-Fi ติดตั้งอยู่ในเครื่อง
การเปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 3G มีค่าใช้จ่าย (ขึ้นอยู่กับแพคเกจที่ผู้ใช้เลือกจากผู้ให้บริการเครือข่าย) มือถือ-แท็บเล็ตบางเครื่องก็รองรับ 3G ทุกเครือข่าย บางเครื่องก็รองรับเฉพาะบางเครือข่าย ผู้ใช้ควรศึกษาสเปคของเครื่องและสอบถามผู้ขายอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจครับ
วันที่ : 17 พฤศจิกายน 2555
Infinix NOTE 8i สเปคดี ราคาไม่เกิน 4,000 บาท พร้อมขาย 2 กุมภาพันธ์นี้
พรีวิว OPPO Reno5 Series 5G กับสุดยอดฟีเจอร์วิดีโอ Portrait ที่แตกต่าง พร้อมดีไซน์สวยโดดเด่น
Vivo Y31 (2021) ชิปเซ็ต Snapdragon 662 กล้อง 48MP แบตฯ 5000mAh เข้าไทยแน่เร็วๆ นี้
Realme C20 มือถือราคาประหยัด Helio G35 แบตฯ 5,000mAh ราคาสามพันต้นๆ
Infinix Hot 10 Play ระบบปฏิบัติการ Android 10 Go Edition แบตเตอรี่อึด 6,000mAh
รู้ก่อนตกเป็นเหยื่อ! แอปฯ เราชนะ คลังเตือนเป็นของปลอม ช่องทางอื่นๆ ระวังโดนหลอก
หมอชนะ ประเมินความเสี่ยงโควิดใน 4 ขั้นตอน พร้อมวิธีลงทะเบียนใช้งาน
Infinix NOTE 8i สเปคดี ราคาไม่เกิน 4,000 บาท พร้อมขาย 2 กุมภาพันธ์นี้
Amazfit GTR 2e และ GTS 2e สมาร์ทวอทช์ดีไซน์ทันสมัย ฟีเจอร์ดูแลสุขภาพสุดล้ำ
โน้ตบุ๊ก Acer Nitro และ Aspire ขุมพลัง ความเร็ว แรงที่เกมเมอร์ต้องมี
Samsung เปิดตัว Exynos 2100 ชิปประมวลผลคุณภาพเยี่ยมพร้อมมีโมเดม 5G ในตัว
Intel Core 11th Gen พร้อมใช้ในแล็ปท็อปรุ่นใหม่กว่า 20 รุ่นแล้ว11 ชั่วโมงที่แล้ว
Infinix NOTE 8i สเปคดี ราคาไม่เกิน 4,000 บาท พร้อมขาย 2 กุมภาพันธ์นี้ 14 ชั่วโมงที่แล้ว
Honor V40 5G สมาร์ทโฟนเบิกทางหลังจากแยกตัวจาก Huawei19 ชั่วโมงที่แล้ว
Apple เตรียมเปิดบริการแอปฯ ECG ใน Apple Watch20 ชั่วโมงที่แล้ว
โน้ตบุ๊ก Acer Nitro และ Aspire ขุมพลัง ความเร็ว แรงที่เกมเมอร์ต้องมี21 ชั่วโมงที่แล้ว
(อัพเดต พฤศจิกายน 2563) ถึงจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปนานแล้ว สำหรับ The Next iPhone รุ่นใหม่ ทั้ง 3 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น iPhone 11 / iPhone 11 Pro / iPhone 11 Pro Max แต่ก็ยังได้รับความสนใจอยู่ตลอดเวลา ด้วยดีไซน์และจุดเด...