iPhone 11 Pro Max และ iPhone 11 Pro เป็น 2 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ภายในปี ค.ศ. 2019 จาก Apple แน่นอนทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมชิปเซ็จตัวใหม่ตัวแรง ที่มีการอัปเกรดในทุกๆ ปี ซึ่งมีชื่อว่า A13 Bionic ที่จะมาช่วยรีดประสิทธิภาพการใช้งานขั้นขีดสุด รวมไปถึงการใช้งานด้านกล้องถ่ายรูปอีกด้วย และทั้ง 2 รุ่นยังเป็นครั้งแรกของ Apple ที่มีการใช้กล้องหลัง 3 เลนส์ ถูกเสริมด้วยเลนส์ Ultra Wide Angle เปิดมุมมองในการถ่ายภาพแบบมุมกว้าง 120 องศาในแบบฉบับที่ iPhone ไม่เคยมาก่อน เรียกว่า iPhone 11 Pro Max และ iPhone 11 Pro ถูกส่งมาเพื่อเชิญชวนให้ผู้ใช้งานเทิร์นโปรอย่างเต็มรูปแบบก็ว่าได้
ตัวเครื่อง iPhone 11 Pro Max จะเป็นรุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูล iPhone 11 Series ด้วยขนาด 158 x 77.8 x 8.1 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 226 กรัม เมื่อจับใช้จริงก็ถือว่าไม่ใหญ่ ยังจับใช้งานได้ถนัด ในขณะที่ iPhone 11 Pro จะมีขนาดที่เล็ก และเบากว่า ด้วยขนาด 144 x 71.4 x 8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 188 กรัม
หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR พาแนล OLED ความละเอียด FHD+ (2688x1242 พิกเซล) สามารถปรับความสว่างได้สูงสุด 1200nits เมื่อชมคอนเท้นด์แบบ HDR และมีดีไซน์รอยแหว่งขนาดใหญ่อยู่ด้านบน
เหนือหน้าจอแสดงผล ในรอยแหว่งขนาดใหญ่มีลำโพงเสียงอยู่ตรงกลาง และกล้องหน้า TrueDepth อยู่ทางขวาของลำโพง ภายใต้รอยแหว่งมีแผงเซนเซอร์ต่างๆ เพื่อช่วยในการใช้งาน FaceID และไมโครโฟน
ใต้หน้าจอแสดงผลไม่มีปุ่มการใช้งานใดๆ แต่สังเกตุได้ว่าความหนาระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่อง ยังคงความบางไว้ตามฉบับ iPhone ยุคจอแหว่ง
ข้างซ้ายตัวเครื่องมีปุ่ม Toggle อยู่ด้านบนสุด ไว้สำหรับปรับโหมดเสียง ส่วน 2 ปุ่มทางด้านล่างเป็นปุ่มเพิ่มเสียง และลดเสียง
ข้างขวาตัวเครื่อง มีปุ่มด้านบนยาวด้านบนเป็นปุ่มพักหน้าจอแสดงผล และเมื่อกดค้างจะเป็นการเรียกใช้งาน Siri ส่วนด้านล่างเป็นช่องใส่ถาดซฺมการ์ด โดยรองรับซิมการ์ดแบบ Nano SIM 1 ช่อง (อีกซิมเป็นแบบ eSIM)
ส่วนบนตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มการใช้งานใดๆ
ใต้ตัวเครื่องมีพอร์ตตรงกลางเป็นแบบ USB Lightning และทั้ง 2 ข้างซ้ายขวาเป็นลำโพงเสียง ส่วนไมโครโฟนจะอยู่ด้านใน
มาต่อกันที่ฝาหลังตัวเครื่อง การดีไซน์มีความสวยงามอย่างมาก สีจะออกเป็นโทนสีด้านๆ ในขณะที่มุมบนซ้ายจะพบกับกล้องหลัง 3 เลนส์ ถูกวางบนแท่นทรงสี่เหลี่ยมขอบมน ประกอบไปด้วยเลนส์ Wide 12MP, Ultra Wide Angle 12MP, Telephoto 12MP และไฟแฟลช True Tone ส่วนรูเล็กๆ คือช่องไมโครโฟน ปิดท้ายด้วยโลโก้ Apple อยู่ตรงกลางฝาหลังตัวเครื่อง
อุปกรณ์ภายในกล่อง
สเปคทั้งหมดของ iPhone 11 Pro Max และ iPhone 11 Pro
พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน
ในส่วนตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลภายในทั้ง iPhone 11 Pro Max และ iPhone 11 Pro จะมีตัวเลือกเหมือนกัน 3 แบบคือ 64GB, 256GB, และ 512GB ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีราคาที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
iPhone 11 Pro iPhone 11 Pro Max
64GB = 35,900 บาท 64GB = 39,900 บาท
256GB = 41,900 บาท 256GB = 45,900 บาท
512GB = 48,900 บาท 512GB = 52,900 บาท
ระบบปฏิบัติการ iOS 13
ระบบปฏิบัติการตั้งแต่แกะออกจากกล่อง จะเป็น iOS 13 ทั้ง 2 รุ่น โดยเวอร์ชั่นนี้จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ใช้งานให้ดีขึ้น เปิดแอพฯ ได้เร็วขึ้นถึง 2 เท่า ผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri ก็มีความฉลาดมากขึ้น สามารถตั้งคำสั่งลัดเพื่อทำงานกับแอพฯ อื่นๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการปรับ UI ในส่วนการเพิ่มเสียงลดเสียง หรือแม้แต่แอพฯ กล้องถ่ายรูป นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง Memoji ได้มากมายมากขึ้น
หน้าจอหลัก
Live Wallpaper แบบใหม่
Live Wallpaper คือพื้นหลังที่สามารถขยับได้ ซึ่งใน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมี Live Wallpaper แบบใหม่ให้เลือกใช้งานถึง 4 แบบ และสามารถตั้งค่าในหน้าจอโฮม, หน้าจอล็อก หรือตั้งค่าทั้ง 2 อย่างพร้อมกันก็ได้ เข้าไปปรับเปลี่ยนได้ที่ การตั้งค่า > ภาพพื้นหลัง > เลือกภาพพื้นหลังใหม่ > Live
Dark Mode
นี้คือฟีเจอร์หลักสำหรับระบบปฏิบัติการ iOS 13 โดย Dark Mode จะทำการปรับเปลี่ยนธีมต่างๆ ให้เป็นโทนสีดำ ในขณะที่ตัวอักษรจะเป็นสีขาว ทำให้สะดวกต่อการใช้งานตอนกลางคืน (จะมีการปรับเปลี่ยนธีมในการตั้งค่า และเฉพาะแอพฯ ที่รองรับ) และยังส่งผลต่อการประหยัดพลังงานได้อีกด้วย เนื่องจากทั้ง 2 รุ่นใช้หน้าจอเป็นพาแนล OLED นั้นเอง สามารถเข้าไปเปิดใช้งาน Dark Mode ได้ที่ การตั้งค่า > จอภาพและความส่วาง > รูปแบบ (บนสุด)
Siri โฉมใหม่ ตั้งชุดคำสั่งได้เอง
ในด้านผู้ช่วยอัจฉะริยะอย่าง Siri ก็มีการพัฒนาประสิทธิภาพให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตั้งคำสั่งลัด เพื่อเรียกใช้งาน Siri ได้อย่างสะดวกสบาย สามารถเริ่้มใช้งานในแอพฯ คำสั่งลัด ได้ทันที โดยระบบจะให้ผู้ใช้งานตั้งค่าว่า ประโยคที่พูด หรือพิมพ์บอกกับ Siri และคำสั่งเหล่านั้นจะเป็นการทำงานในด้านไหน เช่น ต้องการเปิด Facebook ก็ตั้งค่าประโยคไว้ว่า "เปิด Facebook" ในหน้า Siri ระบบก็จะเปิดแอพฯ Facebook ให้ทันที
ผลการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน
ดีไซน์ตัวเครื่องสวยงามในสีผิวด้าน หรือ Matte Finish
การดีไซน์รอบตัวเครื่องของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาเที่ยวนี้มาความพรีเมี่ยมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยสีทางด้านฝาหลังตัวเครื่องจะมีสีผิวด้าน หรือ Matte Finish นั้นเอง (ส่วนตัวมองว่าสี Midnight Green สวยมากๆ) ทั้งนี้วัสดุยังใช้เป็นกระจกที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ลงลึกไปถึงระดับโมเลกุล และตัดแต่งอย่างแม่นยำด้วยกระจกแผ่นเดียว
หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR
ทาง Apple เคลมไว้เลยว่า หน้าจอแสดงผลของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เป็นหน้าจอที่คมชัด และสว่างมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดย Apple เรียกหน้าจอนี้ว่า Super Retina XDR ใช้พาแนล OLED สามารถใช้รับชมคอนเทนด์ระดับ Extreme Dynamic Range ได้อย่างยอดอเยี่ยม พร้อมประความสว่างได้สูงถึง 1,200nits และปรับความสว่างเมื่อใช้งานกลางแดดได้ 800nits จากที่ลองจับใช้งานจริง ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมากๆ ที่สำคัญการสัมผัสยังคงความไหลลื่นตามฉบับ iPhone เช่นเคย
ชิป A13 Bionic
ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของ iPhone ในแต่ละปี ที่ทาง Apple จะมีการอัปเกรตชิปเซ็ตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แน่นอนว่า iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ในปี ค.ศ. 2019 ก็พร้อมชิปเซ็ตตัวแรงรุ่นใหม่ A13 Bionic แบบ 7nm+ ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทำงานได้รวดเร็วมากๆ รับมือกับการประมวลผลซับซ้อนได้อย่างดี และยังฉลาดล้ำไปด้วยระบบ Neural Engine รุ่นที่ 3 ช่วยใช้พลังงานน้อยลง และเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานกล้องถ่ายรูปได้ดีมากยิ่งขึ้น ในด้านการใช้งานก็ถือว่าไม่ผิดหวัง ยังคงให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ไหลลื่น และรวดเร็ว ยังเป็นจุดขายของ iPhone ได้ตามระเบียบ
ทดสอบการเล่นเกม
การเล่นเกมของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ยังคงไว้ใจได้เช่นเคย เพราะมีทั้งความลื่น และสามารถปรับกราฟฟิกได้การระดับสูงได้อย่างไม่มีปัญหา ในการทดสอบได้ทดสอบจากเกม ROV และ PUBG Mobile สองเกมสุดฮิตในปัจจุบัน ก็ปรากฏว่าปรับภาพสวยได้แบบจัดเต็ม พร้อมดันเฟรมเรตในระดับสูงสุดได้แบบสบายๆ ถือว่าเรื่องการเล่นที่หลายๆ คนยกยอให้ iPhone เป็น 1 มาตลอด ก็ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
การบริการต่างๆ Game Arcade และ Apple TV+
ช่วงหลัง Apple ค่อนข้างเน้นไปในด้านการบริการต่างๆ ที่เป็นของตัวเอง ซึ่ง 2 บริการใหม่อย่าง Game Arcade และ Apple TV+ ก็จะสามารถใช้ได้ทันทีบน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max สำหรับ Game Arcade จะเป็นบริการด้านเกมแบบรายเดือน เดือนละ 99 บาท สามารถเล่นเกมได้ทั้งหมดไม่จำกัด และเป็นเกมแบบ Exclusive หาเล่นจากที่ไหนไม่ได้ด้วย ทั้งนี้ยังรองรับการใช้งานกับจอย Dual Shock ของเครื่อง PS4 อีกด้วย ส่วน Apple TV+ เป็นบริการการดูหนังซีรี่ย์แบบสตีมมิ่ง (คู่แข่ง Netflix) มีหนัง และซีรี่ย์ต่างๆ แบบหาดุจากที่อื่นไม่ได้ให้รับชมกัน ค่าบริการอยู่ที่ 99 บาทต่อเดือนเช่นกัน แต่พิเศษหากซื้ออุปกรณ์ของ Apple ทั้ง iPhone, iPad, Apple TV, MacBook หลังจากวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562 ทาง Apple ใจดีให้ดูฟรี 1 ปีไปก่อนเลย
Face ID ที่เร็วขึ้น
ระบบความปลอดภัยของ iPhone 11 Series ยังใช้ FaceID หรือการสแกนใบหน้าเหมือนเดิม แต่มารอบนี้ที่มาพร้อมชิปเซ็ต A13 Bionic ผสมกับระบบปฏิบัติการ iOS 13 ก็จะได้การสแกนที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้นถึง 30% แต่จากการใช้งานจริง ก็ไม่เห็นความแตกต่างมากนักจากรุ่นก่อนๆ และยังคงจดจำใบหน้าได้ 2 ใบหน้าตามเดิม
ใช้ระบบสัมผัส Haptic Touch แทนที่ 3D Touch
จากเดิม iPhone Xs และ iPhone Xs Max ยังคงใช้การสัมผัสหน้าจอแบบทิ้งน้ำหนักอย่าง 3D Touch แต่พอมาเป็น iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ทาง Apple กลับนำระบบ Haptic Touch มาใช้เต็มรูปแบบกับ iPhone ในปี 2019 ทั้ง 3 รุ่น โดยระบบ Haptic Touch เป็นการแตะหน้าจอค้างเพื่อสั่งการ และจะไม่ได้ประสบการณ์การใช้งานแบบ 3D Touch ยกตัวอย่างเช่น 3D Touch บนแป้นพิมพ์ ปกติเวลาต้องการเลื่อน Cursor จะสามารถกดค้างทิ้งน้ำหนักตรงส่วนไหนของแป้นพิมพ์ก็ได้ ก็จะสามารถเลื่อน Cursor ได้ตามใจ แต่ระบบ Haptic Touch จะต้องกดค้างที่ปุ่ม Space Bar เท่านั้น จึงจะใช้เลื่อน Cursor ได้
U1 Chip ช่วยใช้งาน AirDrop ที่รวดเร็ว
ภายใน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมีการฝังชิป U1 Chip ใช้เทคโนโลยีอัลตร้าไวด์แบนด์ ช่วยให้เจออุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple รอบข้างได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการใช้งานจาก AirDrop (เมื่อแต่ละอุปกรณ์มีการเปิดใช้งาน Airdrop)
แบตเตอรี่ ชาร์จเร็ว 18W แถมอะแดปเตอร์ให้ในกล่อง
รุ่นใหม่ทั้งทีด้านแบตเตอรี่ก็มีอายุการใช้งานที่เพิ่มขึ้นไปด้วย โดย iPhone 11 Pro Max สามารถใช้งานได้นานขึ้นถึง 5 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ Apple iPhone Xs Max ในขณะที่ Apple iPhone 11 Pro จะใช้งานได้นานขึ้น 4 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ Apple iPhone Xs เหตุที่ใช้งานได้นานขึ้นขนาดนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับขุมพลัง A13 Bionic แบบ 7nm+ ที่มีการใช้พลังงานน้อยลง พร้อมกับการจัดการพลังงานได้อย่างฉลาด รวมไปถึงหน้าจอ Super Retina XDR และระบบปฏิบัติการ iOS 13 อีกด้วย จากที่ทดสอบใช้เล่นเกม ROV แบบปรับสุดทุกอย่าง 1 ตาระยะเวลาประมาณ 20 นาที ปรากฏว่ามีการสูบแบตเตอรี่จาก 30% เหลือประมาณ 23%
ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ ตัวเครื่อง iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะรองรับการชาร์จเร็ว 18W ชาร์จไฟครึ่งชั่วโมงก็ได้แบตเตอรี่ 50% ทันที และครั้งนี้ถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ใช้งานอีกด้วย เมื่อ Apple นำอะแอปเตอร์ชาร์จเร็วจ่ายไฟแบบ 18W แถมมาให้ทันทีจากในกล่อง
กล้องถ่ายรูป
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มารอบนี้ได้พลิกโฉมการใช้งานกล้องถ่ายรูปอีกครั้ง ด้วยการใส่กล้องหลังมาถึง 3 เลนส์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลทั้งหมด โดยเลนส์ที่เพิ่มขึ้นมาคือเลนส์ Ultra Wide Angle ทำให้ iPhone ยุคนี้สามารถถ่ายภาพแบบมุมกว้างได้แล้วถึง 120 องศา ทั้งนี้ยังเพิ่มความเพลิดเพลินในการถ่ายรูปไปอีกขั้นจากความฉลาดของชิปเซ็ต A13 Bionic ทำให้การถ่ายรูปดูสวยงามทั้งการถ่ายปกติ ถ่ายย้อนแสง HDR อัจฉริยะ และการถ่ายรูปบุคคล พร้อมรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างเช่น การถ่ายรูปตอนกลางคืน และ Deep Fusion
ในขณะที่กล้องหน้า TrueDepth จะมาพร้อมความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพบุคคลได้สวยงาม และลูกเล่นเอฟเฟคแสงไฟสตูดิโอดีสวยงามมากยิ่งขึ้น แต่ไฮไลท์เด่นจริงๆ จะอยู่ที่การบันทึกวิดีโอด้วยกล้องหน้า เพราะสามารถบันทึกความละเอียดได้สูงสุดถึง 4K ที่ 60fps และยังรองรับการถ่าย Slofies ที่ความละเอียด HD ที่ 120fps อีกด้วย
หน้าอินเตอร์เฟสแบบใหม่
ในการแอพฯ กล่องถ่ายรูปจะมีการปรับอินเตอร์เฟสแบบใหม่ ให้ดูสวยงาม และน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปรับใช้งานมุมกว้าง มุมปกติหรือการซูมแบบ Optical 2 เท่า ซึ่งจะมีการใช้อินเตอร์รูปแบบครึ่งวงกลมในการปรับเลื่อนใช้งาน
เลนส์ Ultra Wide Angle มุมกว้าง 120
ความพิเศษในการถ่ายรูปของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะอยู่ที่เลนส์ Ultra Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในการถ่ายรูปบน iPhone ขึ้นอีกระดับ โดยการถ่ายรูปมุมกว้างต้องปรับการซูมเป็น 0.5x และจะทำมุมกว้างได้ถึง 120 องศา ซึ่งภาพที่ออกมาก็มีความสวยงาม เก็บรายละเอียดแบบมุมกว้างได้ดี ถือว่าเป็นอีกมิติในการถ่ายรูปของคนรัก iPhone
โหมดกลางคืน และ Deep Fusion
ทั้ง 2 ฟีเจอร์การใช้งานจะเป็นการทำงานแบบอัตโนมัติ สำหรับโหมดกลางคืน จะเริ่มทำงานเมื่ออยู่ในที่มืด หรือแสงน้อยจนระบบมีการเริ่มทำงานเอง ส่วนการทำงานหลังจากกดชัตเตอร์ ระบบจะใช้เวลาในการประมวลผลซักพัก (3-5 วินาที หรือตามสภาพแสงในขณะนั้น) จึงจะได้รูปออกมา แต่ผู้ใช้งานก็ปรับให้มีการทำงานที่เร็ว หรือช้ากว่านั้นได้ ถ้ายิ่งให้เวลาประมวลผลนานรูปที่ออกมาก็ยิ่งสว่างเผยรายละเอียดได้มากขึ้น แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับโหมดมุมกว้างได้
ส่วนระบบ Deep Fusion เป็นระบบที่มีการใช้งานหลังจากอัปเดตเป็น iOS 13.2 หากต้องการเปิดใช้งาน จะต้องเข้าไปปิด จับภาพนอกกรอบ เสียก่อน ระบบถึงจะมีการทำงานในส่วน Deep Fusion สามารถเข้าไปปิดได้ที่ การตั้งค่า > กล้อง > จับภาพนอกกรอบ ด้านการทำงานก็เป็นการทำงานอัตโนมัติ ผู้ใช้งานไม่สามารถรู้ได้ว่า Deep Fusion จะทำงานเมื่อไหร่ แต่ระบบจะทำงานเมื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อย แต่ไม่ถึงกับมืดเหมือนโหมดกลางคืน ซึ่งทำให้ภาพที่ออกมาจะช่วยเพิ่มความละเอียดของภาพให้มากขึ้น รวมไปถึงลด Noise ในภาพให้ด้วย
ภาพถ่ายบุคคล
การถ่ายภาพ Portrait หรือภาพบุคคล iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลังยังคงให้ภาพออกมาสวยงาม และมีการตัดขอบเบลอพื้นหลังอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับลูกเล่นไฟเอฟเฟคสตูดิโอ ที่มีความคมชัด และสวยงามมากกว่าเดิมอีกด้วย
ถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า ความละเอียด 4K ที่ 60fps
เรียกว่าหาไม่ได้ง่ายๆ จากสมาร์ทโฟน สำหรับฟังก์ชั่นการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดถึง 4K ที่ 60fps จากการใช้งานกล้องหน้า โดยฟีเจอร์นี้สามารถหาได้จาก iPhone 11 Series ทั้ง 3 รุ่น ส่วนวิดีโอที่ออกมาก็ถือว่ามีความสวยงาม แต่ยังดูมี Noise เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อบันทึกวิดีโอในที่แสงน้อย
Slofies !
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับลูกเล่นใหม่อีกแล้ว นั้นคือ Slofie หรือการถ่ายวิดีโอ Slo-Mo จากกล้องหน้านั้นเอง ทั้ง 2 รุ่นสามารถบันทึกวิดีโอ Slofies ด้วยความละเอียดสูงสุดระดับ HD ที่ 120fps ก็ถือว่าเป็นลูกเล่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจพอสมควรสำหรับคนชอบการถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า
คุณสมบัติการถ่ายภาพนิ่ง
คุณสมบัติการถ่ายภาพวีดีโอ
ข้อมูลผู้ใช้ร่วมแสดงความเห็นกับ :
Apple iPhone 11 Pro Max : https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=460845
Apple iPhone 11 Pro : https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=460844
แคตตาล็อกตัวเครื่อง :
Apple iPhone 11 Pro Max : https://www.siamphone.com/spec/apple/iphone11_pro_max.htm
Apple iPhone 11 Pro : https://www.siamphone.com/spec/apple/iphone11_pro.htm
รีวิว Apple iPad mini 7 ควรอัปเกรดไหม? แตกต่างจาก iPad mini 6 อย่างไร!
ทำความรู้จัก TECNO SPARK 30C หน้าจอ 120Hz ทนน้ำทนฝุ่น IP54 ลำโพงสเต...
OPPO Reno 13 Series ชิปเซ็ต Dimensity 8350 กันน้ำกันฝุ่น IP69 และชา...
รีวิว CMF PHONE 1 หน้าจอ 120Hz อัปเดต OS นาน 2 ปี ได้ RAM 16GB กล้อ...
iQOO Neo 10 Series สเปคเทพ กล้องสวย ดีไซน์โดนใจ เปิดตัว 29 พฤศจิกาย...
พรีวิว Samsung Galaxy Z Flip 6 ครั้งแรกมือถือจอพับกันน้ำได้ Samsung เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy Z Flip 6 รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเฉดสีสไตล์มินิมอล สดใส เก๋ไก่ น่ารักเอามากๆ มี 4 เฉดสีใ...