สำหรับจุดเด่นของ Samsung Galaxy S20/S20+ เริ่มจากหน้าจอแสดงผลกันก่อน โดยครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6 รวมถึงมีขอบจดสุดบางไม่ว่าจะบน/ล่าง หรือซ้าย/ขวาก็แสนบางจึงไม่มีบดบังสายตา รองรับมาตรฐาน HDR10+ หมายความว่าคุณสามารถรับชมคอนเทนต์ระดับ HD คมชัด ผสมผสานความละเอียดสูง QuadHD+ และเทคโนโลยี Dynamic AMLOED ที่จะให้เฉดสีเข้าสด สวยงามยิ่งขึ้น มาพร้อมหน้าจออัตรารีเฟรชเรท 120Hz เพราะฉะนั้นจะเล่นเกม หรือเปิดแอปพลิเคชั่นก็ไม่หน่วงอีกต่อไปแล้ว มาพร้อมโหมดถนอมสายตา, โหมดใช้งานกลางคืน, โหมดอ่านหนังสือ เป็นต้น กับลำโพงสเตอริโอที่จูนเสียงโดย AKG พร้อมระบบเสียง Dloby ATMOS ทั้งหูฟังและลำโพง ซึ่งมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอกับระบบปลดล็อคด้วยใบหน้า และคุณสมบัติป้องกันน้ำป้องกันฝุ่นระดับ IP68 ที่กันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที รวมถึงฟีเจอร์ชาร์จแบตเตอรี่เร็ว, ชาร์จไร้สาย FAST WIRELESS CHARGING 2.0 ที่ชาร์จได้เร็วขึ้น และฟังก์ชั่นชาร์จแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์อื่น นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือรองรับการใช้งาน 5G เต็มรูปแบบอีกด้วย
สำหรับสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นมีดีไซน์คล้ายกันอย่างมาก เรียกได้ว่าแตกต่างแค่ขนาดของตัวเครื่องเท่านั้นเอง โดย Samsung Galaxy S20 มีขนาดเล็กกว่าคือ 151.7 x 69.1 x 7.9 มม. และน้ำหนัก 163 กรัม ส่วนรุ่นพี่ Samsung Galaxy S20+ มีขนาดตัวเครื่อง 161.9 x 73.7 x 7.8 มม. น้ำหนัก 188 กรัม ซึ่งความรู้ที่จับนั้นรุ่นน้องเบามาก ขนาดพอดีมือสะดวกแก่การใช้งานมือเดียว ทว่ารุ่นำพี่จะมีน้ำหนักหน่อยทำให้รู้สึกกระชับกับฝ่ามือมากยิ่งขึ้น
ส่วนของหน้าจอแสดงผลจุดที่เหมือนกันคือ ทาง Samsung ได้นำ Gorilla Glass 6 มาครอบทับทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งมีความแข็งแรงกว่ากระจกทุกรุ่น ที่สามารถป้องกันรอยขขีดข่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหน้าจอใช้เทคโนโลยี Dynamic AMLOED ที่จะให้เฉดสีเข้าสด สวยงามยิ่งขึ้นกว่า Super AMOLED มีขนาด 6.2 นิ้ว (S20) และขนาด 6.7 นิ้ว (S20+) ตามลำดับ ความละเอียดเท่ากันที่ QuadHD+ ทว่าความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือมีอัตรารีเฟรชเรทที่ 120 เฟรมต่อวินาที นั่นหมายความว่าคุณสามารถเล่นเกมได้อย่างไหลลื่น ไม่มีหน่วงทุกการแสดงผล
เหนือหน้าจอขึ้นไปจะมีเหล่าเซ็นเซอร์ต่าง ๆ และกล้องหน้า : ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล มุมมอง 80 องศา ระบบจับโฟกัส Dual Pixel AF รูรับแสง f/2.2 เหมือนกันทั้งสองรุ่น
มาต่อกันที่รอบตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มกันที่ตัวเครื่องด้านบนมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot คือต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างสองซิมการ์ด หรือหนึ่งซิมการ์ด + MicroSD Card สูงสุด 1TB ถัดไปมีรูไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน
ด้านขวาตัวเครื่องมีปุ่ม Power สำหรับล็อค/ปลดล็อค/เปิด-ปิดเครื่อง และปุ่มเพิ่มเสียง/ลดเสียง โดยสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชั่นกดปุ่ม Power ติดต่อกันสองครั้งเพื่อเรียกใช้งานถ่ายภาพด่วน หรือกดปุ่ม Power พร้อมปุ่มลดเสียง เพื่อแคปหน้าจอ ตามการตั้งค่า
ด้านล่างตัวเครื่องมีพอร์ต USB Type C อยู่กึ่งกลางตัวเครื่อง และฝั่งขวาเป็นลำโพง ฝั่งซ้ายเป็นรูไมโครโฟนสนทนา ส่วนรูเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร บอกลาไปได้เลย ไม่มีทั้งสองรุ่น
ด้านหลังตัวเครื่องมีโมดูลกล้องที่ยื่นออกมา ดังนั้นการใช้งานอาจต้องใช้ความระมัดระวังหน่อย เพราะโมดูลกล้องอาจถูกับพื้นผิวต่างๆ แล้วเกิดความเสียหายก็เป็นได้
นอกจากนี้หากใครห๊วงห่วงสมาร์ทโฟนคู่ใจอย่าง Samsung Galaxy S20+ ละก็ ทางซัมซุงก็มีเคสให้ซื้อด้วยนะ แบ่งเป็นเคสหนัง (LEATHER COVER) ที่ให้ผิวสัมผัสนุ่ม แต่มีลักษณะพื้นผิวด้าน เพื่อป้องกันการลื่นนั่นเอง สามารถจับถนัดกระชับมือ โดยมีสีให้เลือก ได้แก่ Black, Sky Blue, Red, Brown, Gray และ Light Gray
ส่วนอีกหนึ่งเคสของ Samsung Galaxy S20+ คือ Smart LED View Cover ที่จะมีสัญลักษณ์ไฟ LED แสดงบนพื้นผิวเคส เพิ่มทางเลือกให้คุณติดตามทุกการแจ้งเตือนได้ด้วยไอคอนไฟ LED อีกด้วย นอกจากนี้เมื่อคุณเปิดเคสขึ้นมา หน้าจอก็จะปลดล็อคทันที เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น มาพร้อมเฉดสีให้เลือก ได้แก่ Black, White, Sky Blue, Pink และ Gray
สรุปสเปกสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S20/S20+
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
ทดสอบเซ็นเซอร์ด้วยโปรแกรม Android Sensor Box พบเซ็นเซอร์ดังนี้
หน้าจอหลักและหน้าเมนูการใช้งาน
เมนูทางลัดการใช้งานด่วน
เรียกใช้งานด้วยการปัดลงมาจากหน้าจอด้านบน การปัดครั้งแรกจะเป็นเมนูที่จำเป็นต่อการใช้งานเท่านั้น เช่น WiFi, Bluetooth, ไฟฉาย, โหมดประหยัดพลังงาน เป็นต้น หากเลื่อนปัดสองครั้งจะรวมเมนูทางลัดด่วนทั้งหมด และคุณก็เลือกได้ว่าจะให้เมนูใดอยู่ตรงไหน แค่กดไอคอนไข่ปลาบริเวณมุมขวาบน (ไอคอนสี่)
การแสดงผล
เมนูสำหรับตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอ โดยสามารถปรับระดับความสว่าง, สี หรือเลือกโหมดการใช้งานได้ อาทิ โหมดอ่านทำให้โทนสีอุ่นขึ้น เพื่อความสบายตาในการใช้งาน และตั้งเวลาได้ด้วย นอกจากนี้ยังเปลี่ยนขนาดตัวอักษรภายในเครื่องได้ ถ้าใครต้องการตัวเล็ก ตัวใหญ่ก็เปลี่ยนในเมนูขนาดอักษรได้เลย รวมถึงการเปิดใช้งานแตะหน้าจอสองครั้งติดกันเพื่อปลุกหน้าจอ หรือเปิดใช้งานโหมดแสงทึบ, โหมดฟิลเตอร์แสงสีฟ้า, การซูมหน้าจอ เป็นต้น
การปรับแต่งหน้าจอหลักและหน้าแอปพลิเคชั่น
การปรับแต่งหน้าจอหลักและหน้าแอปพลิเคชั่นสามารถเลือกได้แบบที่ต้องการ เช่น 4x5, 4x6, 5x5 หรือ 5x6 เป็นต้น รวมถึงฟีเจอร์การซ่อนแอปพลิเคชั่น เผื่อว่าใครอยากปกปิดเป็นความลับ ก็จะไม่มีการโชว์ในหน้ารวมแอปฯ
แถบการนำทาง
ตั้งค่าปุ่มควบคุมได้ด้วยการเข้าไปที่ การตั้งค่า - จอภาพ - แถบการนำทาง สามารถเลือกใช้งานได้ตามความสะดวกของคุณได้เลย
การตั้งค่า Always ON Display
ฟังก์ชั่นสำหรับโชว์การแจ้งเตือนๆ ภายในเครื่อง เมื่อหน้าจอถูกล็อกอยู่ แค่คุณกดแค่ครั้งเดียวก็ทราบข้อมูลครบแล้ว ไม่ต้องปลดล็อคตัวเครื่องให้ยุ่งยาก และสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ เข้าไปตั้งค่าได้ที่ การตั้งค่า - ล็อกหน้าจอ - Always ON Display
การเลือกธีม/วอลเปเปอร์/ไอคอน/Always ON Display
ปรับแต่งอินเทอร์เฟชสมาร์ทโฟนของคุณให้มีความหลากหลาย จะเท่ จะน่ารัก หรือจะแบบสบายตา ก็ปรับแต่งได้ดั่งใจ มีทั้งแบบเสียเงินกับฟรี ก็ไม่มีทางจำเจเลยละ
การปรับแต่งปุ่มการใช้งานด้านข้าง (ปุ่ม Power)
เลือกปรับแต่งได้ตามต้องการใช้งาน ซึ่งจะเป็นการใช้งานที่นอกเหนือจากการใช้ล็อค/ปลุกสมาร์ทโฟน หรือกดค้างเพื่อปิดเครื่อง ทว่าคุณสามารถตั้งค่าเพื่อเปิดแอปพลิเคชั่น, เรียกใช้งานถ่ายภาพด่วน หรือเริ่มต้นใช้งาน Bixby เป็นต้น เข้ามาตั้งค่าได้ที่ : การตั้งค่า - คุณสมบัติขั้นสูง - ปุ่มด้านข้าง
เครื่องมือการแคปหน้าจอ
แคปหน้าจอได้โดยกดปุ่ม Power และปุ่มลดเสียงพร้อมกัน นอกจากนี้ทางระบบยังมีฟีเจอร์ที่ปรับแต่งภาพที่เราแคปได้ด้วย เช่น จับภาพได้มากขึ้น, กำหนดจุดที่ต้องการ, แชร์ภาพ เป็นต้น เข้ามาตั้งค่าได้ที่ : การตั้งค่า - คุณสมบัติขั้นสูง - ภาพถ่ายหน้าจอและตัวบันทึกหน้าจอ - แถบเครื่องมือ
ฟังก์ชั่นยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน
สำหรับการยืนยันตัวตนจะมีสองแบบ คือสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็วแค่วางนิ้วแตะเบาๆ นอกจากนี้ยังมีระบบสแกนใบหน้า แค่คุณยกขึ้นให้พอดีกับใบหน้า ก็ปลดล็อคตัวเครื่องแล้ว
ลดการแสดงภาพเคลื่อนไหวเมื่อเปิด/ปิด แอปพลิเคชั่น
ช่วยลดอนิเมชั่นขณะเปิด/ปิด แอปพลิเคชั่น เพื่อลดการใช้ RAM กับ กราฟิก เพื่อให้เครื่องทำงานได้ไหลลื่น
โหมดมือเดียว
ปรับขนาดการแสดงผลของหน้าจอลงชั่วคราว เพื่อให้คุณสามารถควบคุมเมนู หรือปุ่มต่างๆ ได้ด้วยมือเดียวเท่านั้น เพิ่มความสะดวกคล่องตัวยิ่งขึ้น
มาตรฐาน IP68
คุณสมบัติป้องกันน้ำป้องกันฝุ่นระดับ IP68 สามารถกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที
ระบบเสียง Dolby ATMOS
เพิ่มประสบการณ์ความบันเทิงของคุณอย่างมีคุณภาพเสียงทุกท่วงทำนอง และหากคุณยังไม่ชื่นชอบกับจังหวะก็สามารถปรับแต่งได้ด้วยตนเอง
ฟีเจอร์ Dual Messenger
แยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกันด้วยฟีเจอร์ดังกล่าวที่สามารถโคลนแอปพลิเคชั่น เพื่อให้เข้าใช้งานได้สองบัญชี เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ต้องสับสน และใช้งานได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น
Game Luncher
แอปพลิเคชั่นสำหรับคอมเกม โดยสามารถบริหารจัดการการตั้งค่าต่างๆ ภายในเครื่องได้เลยจากแอปพลิเคชั่นนี้ เพื่อไม่ให้รบกวนในการเล่นเกม
การดูแลอุปกรณ์
โดยระบบจะทำการบริหารจัดการทรัพยากรระบบสำคัญๆ เพื่อให้การทำงานของคุณไหลลื่นและเป็นปกติ จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อการใช้งานเป็นเวลานาน โดยที่ไม่ได้ทำการลบข้อมูลต่างๆ เลย
โหมดประหยัดแบตเตอรี่
โดยจะช่วยให้คุณยืดเวลาการใช้งานสมาร์ทโฟนให้นานยิ่งขึ้นไปอีก หากแบตเตอรี่ใกล้หมด ซึ่งระบบจะปิดการทำงานในส่วนของระบบที่ไม่จำเป็นออกไป
กล้องดิจิตอลของทั้งสองรุ่นมีข้อมูลสเปกเหมือนกัน ทว่าความแตกต่างคือรุ่น Samsung Galaxy S20+ จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับภาพเชิงลึก DepthVision เพิ่มขึ้นมาทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัด และมิติภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
โหมดการใช้งานและถ่ายภาพที่น่าสนใจ
คุณสมบัติการบันทึกวิดีโอ
ฟีเจอร์เพิ่มเติมของระบบวิดีโอ
ฟีเจอร์บันทึกวิดีโอ Super Steady
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ซอฟต์แวร์จะทำงานร่วมกับกล้องให้คุณเก็บภาพได้กว้างและนิ่งกว่าที่เคย ช่วยลดอาการสั่น อันเป็นสาเหตุของภาพเบลอได้ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์การบันทึกวิดีโอแบบต่างๆ ได้มากกว่าเดิม
รีวิวโทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy S20/S20+ - ซัมซุง
ขอขอบคุณ : บริษัท ไทยซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ จำกัด โทร. 02-689-3232
ข้อมูลผู้ใช้ร่วมแสดงความเห็นกับ :
แคตตาล็อกตัวเครื่อง :
พรีวิว Samsung Galaxy Z Flip 6 ครั้งแรกมือถือจอพับกันน้ำได้ Samsung เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy Z Flip 6 รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเฉดสีสไตล์มินิมอล สดใส เก๋ไก่ น่ารักเอามากๆ มี 4 เฉดสีใ...