iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จัดว่าเป็นรุ่นท็อปของ iPhone 12 ที่เปิดจัวในปี 2020 นี้ ด้วยความโดดเด่นของดีไซน์สุดพรีเมี่ยม ขนาดตัวเครื่อง และหน้าจอ Super Retina XDR ที่ใหญ่กว่า ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ A14 Bionic สถาปัตยกรรมขนาด 5 นาโนเมตร รองรับสัญญาณ 5G พร้อมเทคโนโลยี LiDAR ที่นำมาใช้ในเทคโนโลยีกล้องหลัง 3 เลนส์
ตัวเครื่องของ iPhone 12 Pro มีขนาด 146.7 x 71.5 x 7.4 มม. น้ำหนัก 187 กรัม ยังสามารถใช้งานมือเดียวได้อย่างถนัดมือ ต่างจาก iPhone 12 Pro Max ที่มีขนาด 160.8 x 78.1 x 7.4 มม. น้ำหนัก 226 กรัม ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดใน iPhone ทุกรุ่นที่มีมา ถ้าเป็นมือของผู้หญิงหรือคนมือเล็ก ต้องใช้ทั้ง 2 มือ เพื่อให้มีความถนัดในการจับถือมากขึ้น
iPhone 12 Pro มีหน้าจอแสดงผล OLED-Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซลอยู่ที่ 460ppi ส่วนใน Apple iPhone 12 Pro Max หน้าจอแสดงผล OLED-Super Retina XDR เช่นกัน มีขนาดใหญ่กว่าที่ 6.7 นิ้ว ซึ่งเกือบๆ จะเท่าขนาดของแฟบเล็ตได้เลย ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซลอยู่ที่ 458ppi และมีดีไซน์รอยแหว่งขนาดใหญ่อยู่ด้านบน
ส่วนบนของหน้าจอ จะมีลำโพงสเตอริโอในตัว ไมโครโฟนในตัว มีกล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12MP รูรับแสงขนาด ƒ/2.2 อยู่ทางขวาของลำโพง และแผงเซนเซอร์สำหรับการสแกนใบหน้า 3 มิติ หรือ Face ID ซ่อนอยู่ในรอยแหว่งตรงกลางด้วย
ส่วนล่างของหน้าจอไม่มีปุ่มกด หรือปุ่มใดๆ ใช้เป็นการควบคุมแบบท่าทางสัมผัสเพื่อการสั่งการแทน ขอบของหน้าจอมีความบางลงกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ตัวเครื่องด้านบนไม่มีการใช้งานใดๆ
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่ม Toggle สำหรับเปิด-ปิดเสียง ถัดลงมาเป็นปุมเพิ่ม-ลดเสียง และช่วงเกือบกึ่งกลางเป็นช่องใส่ซิมการ์ด รองรับซิมแบบ Nano SIM 1 ช่อง และยังรองรับ eSIM ได้อีก
ด้านขวาตัวเครื่อง มีปุ่ม Power ใช้สำหรับเปิดเครื่อง, พักหน้าจอ หรือกดค้างเพื่อเรียกใช้งาน Siri ส่วนการปิดเครื่องและเปิดโหมด SOS ฉุกเฉิน ต้องกดปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มเสียงค้างไว้
ตัวเครื่องด้านล่าง มีพอร์ต USB Lightning อยู่ตรงกลาง มีน็อตเล็กๆ ยึดเกาะอยู่ขนาดกลางพอร์ต ทางซ้ายเป็นไมโครโฟน และทางขวาเป็นลำโพงเสียง
สำหรับด้านหลังของตัวเครื่อง จะมาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียด 12MP คือ กล้องหลักซึ่งเป็นเลนส์ไวด์ด้วย + เลนส์อัลตร้าไวด์ + เลนส์เทเลโฟโต้และสแกนเนอร์ LiDAR แต่เซนเซอร์ของ iPhone 12 Pro Max จะใหญ่กว่าเซ็นเซอร์กล้องของ iPhone 12 Pro จัดเรียงไว้ในโมดูลสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมไฟแฟลชกับไมโครโฟน ตัวเลนส์มีความใหญ่และยื่นออกให้เห็นค่อนข้างชัดเจน เมื่อวางเครื่องลงที่พื้นแล้วกด จะเครื่องจะกระดกไปมา
ส่วนการให้สีสันและพื้นผิวของเครื่อง ด้านหลังจะเป็นแบบกระจกผิวด้าน ให้ความรู้สึกหรูหราพรีเมี่ยม ปกปิดการเกิดรอยนิ้วมือได้ดี สีที่ได้มารีวิว สำหรับ iPhone 12 Pro Max คือสีทอง ส่วน iPhone 12 Pro เป็นสีเงิน ขอบของเครื่องทำจากสเตนเลสเกรดเดียวกับที่ใช้ในการผลิตเครื่องมือศัลยกรรม มีความสวยงาม แต่ไม่ได้คมมากจนสามารถบาดมือตามข่าวที่มีออกมา
อุปกรณ์ภายในกล่อง iPhone 12 Pro
อุปกรณ์ภายในกล่อง iPhone 12 Pro Max
ข้อมูลพื้นฐานของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max
พื้นที่เก็บข้อมูลภายในทั้ง iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มีตัวเลือกเหมือนกัน 3 ความจุ คือ 128GB, 256GB, และ 512GB ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีราคาที่แตกต่างกัน ดังนี้
ระบบปฏิบัติการ
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 14 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด มีการพัฒนาปรับแต่งให้รวดเร็วขึ้น ตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างมีสเถียรภาพ มีการเพิ่มเติมฟีเจอร์ต่างๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นวิดเจ็ตในหน้าโฮม, หน้าคลังแอป, การแจ้งเตือนเมื่อมีสายเรียกเข้าแบบหน้าต่างป็อปอัพ, หรือแม้แต่ Memoji ก็มีตัวเลือกหลากหลายสไตล์
หน้าจอหลัก และ Control Panel
ทั้งหน้าจอหลัก และ Control Panel ยังคงไว้ลายหน้าตาให้เป็นแบบฉบับ iOS เช่นเดิม ด้วยการดีไซน์ที่เน้นเป็นรูปแบบสี่เหลี่ยมขอบมน แต่ส่วนที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ iPhone ที่รันบน iOS 14 เห็นจะเป็นการเพิ่มวิดเจ็ตมาบนหน้าโฮมได้ด้วย
วิดเจ็ต
เป็นลูกเล่นที่เพิ่มขึ้นมาให้กับหน้าโฮมของ iPhone ทุกรุ่นที่รันบน iOS 14 โดยวิดเจ็ตจะเป็นการบอกข้อมูลจากแอพฯ อื่นๆ ไว้บนหน้าโฮม และสามารถจัดรูปแบบการวางได้ตามใจ ส่วนวิธีการนำวิดเจ็ตมาใช้งานก็เพียง กดค้างบนพื้นที่วางบนหน้าจอหลัก > กดเครื่องหมาย + มุมบนซ้าย > จากนั้นจะมีวิดเจ็ตมาให้เลือกตกแต่ง
คลังแอป
จากเดิมระบบปฏิบัติการ iOS จะนำแอปทั้งหมดมารวมไว้ในหน้าจอหลัก แต่สำหรับ iOS 14 จะมีหน้าคลังแอป ไว้สำหรับแบ่งประเภทแอปแยกเป็นโฟลเดอร์ โดยคลังแอปจะอยู่หน้าสุดท้ายของหน้าจอหลัก (ปัดซ้ายไปเรื่อยๆ)
โหมดมืด
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวเครื่องมากขึ้น เพราะนอกจะช่วยให้ใช้งานในตอนกลางคืนได้อย่างสบายตา ลดความเมื่อยล้าเมื่อต้องจ้องแสงหน้าจอในที่สว่างน้อย ยังช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานของพาเนลแบบ OLED อีกด้วย
True Tone
โหมด True Tone จะเป็นการปรับภาพหน้าจอ ให้เข้ากับสภาพแสงในขณะนั้นแบบอัตโนมัติ เพื่อจอแสดงผลสามารถแสดงภาพได้ดี แหละถนอมสายตาไปในตัว โดยจอภาพอาจจะเป็นออกสีออกเหลืองๆ ส้มๆ ในบางครั้ง
สุขภาพแบตเตอรี่
ผู้ใช้งานสามารถดูสุขภาพของแบตเตอรี่ได้ด้วยตนเอง โดยเข้าไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่ > สุขภาพแบตเตอรี่ จากนั้นก็ดูที่เมนู ความจุสูงสุดว่าเหลืออยู่กี่เปอร์เซนต์ หากมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อย การใช้งานก็จะน้อยลงต้องทำการชาร์จบ่อยๆ ซึ่งหากเกิดอาการแบบนี้ ก็ควรนำไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ศูนย์บริการ
การแจ้งเตือนการสัมผัสเชื้อ
สำหรับการใช้งานในฟังก์ชั่น การแจ้งเตือนการสัมผัสเชื้อ ใช้เพื่อแจ้งเมื่อบริเวณใกล้เคียงพบผู้ติดเชื้อ Covic 19 หรืออยู่ใกล้พื้นที่เสี่ยง วิธีการใช้งาน เข้าไปที่การตั้งค่า > เปิดแจ้งเตือนการสัมผัสเชื้อ > กดปุ่มดำเนินการต่อ > กดปุ่มเสร็จสิ้น > เลือกประเทศหรือภูมิภาคของคุณ > กดปุ่มเสร็จสิ้น แต่ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีแอปพลิเคชั่นที่รองรับการใช้งานนี้ได้ อาจจะต้องรอไปก่อน
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง iPhone 12 Pro
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง iPhone 12 Pro Max
ดีไซน์สวยพรีเมี่ยม วัสดุตัวเครื่องคุณภาพสูง
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ไม่เพียงมีดีไซน์ที่สวยงาม แต่ยังใช้วัสดุตัวเครื่องคุณภาพสูง โดยขอบตัวเครื่องเลือกใช้สเตนเลสเกรดเดียวกับที่ใช้ในผลิตเครื่องมือศัลยกรรม จึงมีความแข็งแรงที่ทนทานสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นจากสารเคมีที่กัดกร่อน คราบเหงื่อ รวมถึงการตกกระแทก มีความเงางาม ตัดกับฝาด้านหลังที่เป็นแบบกระจกผิวด้าน ให้ความรู้สึกหรูหราพรีเมี่ยมมากขึ้น ทั้งยังปกปิดการเกิดรอยนิ้วมือได้ดีอีกด้วย มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี คือ สีแปซิฟิกบลู, สีทอง, สีเงิน และสีกราไฟต์
หน้าจอ Super Retina XDR กับกระจก Ceramic Shield
ในส่วนของหน้าจอ ทั้ง iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ต่างก็ใช้ หน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED เช่นเดียวกัน แต่มีขนาดที่ต่างกัน โดย iPhone 12 Pro มีขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ส่วนใน iPhone 12 Pro Max มีขนาดใหญ่กว่าที่ 6.7 นิ้ว ขนาดเล็กกว่าแฟบเล็ตนิดเดียว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล รองรับการแสดงผลภาพแบบ HDR ในแบบ Dolby Vision, HDR10, HLG ทำให้รับชมคอนเทนต์วิดีโอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และการแสดงผลเฉดสีแบบ True Tone มีขอบเขตสีกว้างตามมาตรฐาน P3 และมีอัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 ให้ความสว่าง 800 นิต ส่วนสูงสุดที่ 1,200 นิต จึงมั่นใจว่าจะได้อรรถรสของความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นการดูคลิป การรับชมภาพ หรือแม้กระทั้งเล่นเกมได้อย่างเต็มอิ่ม ไม่เพียงเท่านั้นหน้าจอยังเป็นกระจก Ceramic Shield ที่มีความแข็งแกร่งกว่ากระจกไหนๆ บนสมาร์ทโฟน และถูกเคลือบสารป้องกันรอยนิ้วมือไว้บนหน้าจอ ลดการเกิดรอยนิ้วมือ
ชิปเซ็ต A14 Bionic รองรับสัญญาณ 5G
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ใช้ชิปเซ็ตตัวเดียวกันกับ iPhone 12 ที่เปิดตัวในปีนี้ นั่นก็คือชิป A14 Bionic ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานมี่อยู่ในระดับสูงสุด รับรองว่ามีความสเถียรในการทำงานอย่างแน่นอน อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี 5G อีกด้วย มีความเร็วมากกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นอีกด้วยมากกว่า 50% ทั้งมีการอัดตัวรับส่งสัญญาณมากถึง 1.18 หมื่นล้านตัวกับหน่วยประมวลผล Neural Engine ดีขึ้นกว่าเดิม 80% ซึ่งด้วยการทำงานที่ผสานกัน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จึงมีการทำงานที่รวดเร็ว และยังสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Face ID
สำหรับการปลดล็อคด้วยใบหน้าหรือ Face ID เปิดใช้งานด้วยกล้อง TrueDepth เพื่อการรู้จำใบหน้า บวกกับประสิทธิภาพของชิปเซ็ต A14 Bionic จึงช่วยทำให้การปลดล็อกใบหน้ามีความรวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น รองรับการจดจำใบหน้าได้สูงสุด 2 ใบหน้า สามารถปลดล็อคได้อย่างแม่นยำแม้ในที่มืด หรืออยู่ห่างระยะ 1 เมตร โดยลองทดสอบวาง iPhone 12 Pro หรือ iPhone 12 Pro Max ไว้บนโต๊ะ เมื่อลองปลดล็อคด้วยใบหน้า ก็สามารถทำได้ เพราะมีแผงเซนเซอร์สแกนใบหน้า 3 มิตินั้นเอง
มาตรฐานกันน้ำ IP68
จุดที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ มีมาตรฐานป้องกันน้ำป้องกันฝุ่นระดับ IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 สามารถกันน้ำด้วยความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 นาที ซึ่งถือว่าเป็นมิติใหม่ของวงการสมาร์ทโฟน เพราะไม่มีแบรนด์ใดการันตีที่ความลึกนี้มาก่อน แต่ก็ต้องเช็คให้ดี เพราะในการนำไปใช้งานหรือทดสอบจริงๆ อาจทำให้ขาดเงื่อนไขการรับประกันได้
แบตเตอรี่
สำหรับแบตเตอรี่ สามารถใช้งานได้เกือบทั้งวัน ใยกรณีที่เล่นโซเชียลบ้างหรือดูคลิปบ้าง แต่หากเปิดใช้สัญญาน 5G ค่อนข้างที่จะเปลืองพลังงาน ใช้เวลาในการชาร์จประมาณชั่วโมงกว่าๆ ในการชาร์จเต็ม โดยผ่านสายชาร์จและอะแดปเตอร์ แต่หากชาร์จผ่าน MagSafe จะใช้เวลานานกว่านั้นเกือบเท่านึ่ง
เทคโนโลยี LiDAR
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ยังได้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในเทคโนโลยีกล้องหลังด้วย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นาซ่านำมาใช้ในการสแกนพื้นที่เพื่อลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคาร ด้วยหลักการใช้งานแบบการสะท้อนแสงกลับมาของวัตถุ ช่วยตรวจจับการโฟกัสในสภาวะแสงน้อยได้ดีมากขึ้น จึงนำมาช่วยในการใช้งานฟีเจอร์ AR ให้สมจริงยิ่งขึ้น
การใช้งานกล้องถ่ายภาพ
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วย เลนส์กว้าง, เลนส์กว้างพิเศษ และเลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12MP และมีเซ็นเซอร์กล้องหลักที่ใหญ่กว่ารุ่นอื่นๆ ถึง 47% ช่วยให้รับแสงได้ดีกว่า อีกทั้งยังมีกันสั่นที่ช่วยให้การจับภาพมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้ง 2 รุ่นนี้อาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของสเปค แต่เมื่อภาพถ่ายออกมาแล้วแทบจะแยกความต่างออกไม่ได้ อาจมีบางภาพที่ iPhone 12 Pro Max จะให้ภาพที่สว่างกว่านั่นเอง
iPhone 12 Pro iPhone 12 Pro Max
ภาพมุมกว้าง
เลนส์กว้างพิเศษ มีความละเอียดที่ 12 ล้านพิกเซล และรูรับแสงขนาด ƒ/2.4 ให้มุมมองภาพกว้าง 120 องศา เก็บภาพได้ครบทุกองค์ประกอบที่ต้องการ ทั้งยังไม่มีความบิดเบี้ยวของภาพ ทำให้ภาพออกมาสวยงาม ได้มุมมองที่แตกต่างออกไป
iPhone 12 Pro iPhone 12 Pro Max
ภาพถ่ายกลางคืน
ในการถ่ายภาพกลางคืน ถือว่า iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ทำมาได้ค่อนข้างดีขึ้น ภาพไม่มืดเหมือนรุ่นเก่า มีความสว่างของภาพที่มากขึ้น แต่ยังคงรายละเอียด และความสมจริงของแสงสีไว้ได้ดี ซึ่งการกดชัตเตอร์เพื่อถ่าย อาจจะต้องใช้เวลาซักครู่เพื่อความชัดของภาพนั่นเอง
iPhone 12 Pro iPhone 12 Pro Max
ภาพถ่ายบุคคล
สำหรับถ่ายบุคคลใน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมโบเก้ที่สมจริง มีระยะชัดลึกที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ภาพถ่ายบุคคลจึงออกมาดูมีมิติ สวยงาม และเบลอฉากหลังได้ค่อนข้างเนียนเป็นธรรมชาติ และยังมีการจัดแสงภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบให้เลือกถ่ายอีกด้วย
iPhone 12 Pro iPhone 12 Pro Max
กล้อง TrueDepth ความละเอียด 12MP
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมกับกล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12MP รูรับแสงขนาด ƒ/2.2 ถ่ายภาพเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอได้อย่างสวยสมจริงเป็นธรรมชาติ ให้รายละเอียดที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นไรผมหรือขนคิ้ว สามารถถ่ายภาพเซลฟี่ยามค่ำคืนได้สว่างชัดกว่าเดิม และยังมาพร้อมการจัดแสงภาพถ่ายบุคคลเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ ไม่ว่าจะเป็น แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีขาวดำ และแสงไฟขาวดำไฮคีย์ เหมือนกับกล้องหลังก็ได้
iPhone 12 Pro iPhone 12 Pro Max
ความแตกต่างของกล้อง iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max
สำหรับความแตกต่างที่เห็นในการถ่ายภาพกล้องของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max นอกจากในเรื่องของการรับแสงที่ iPhone 12 Pro Max จะทำได้ดีกว่านิดหน่อย ก็มีเรื่องระยะของเลนส์ในการถ่ายภาพบุคคล โดยในระยะห่างที่เท่ากัน iPhone 12 Pro Max จะให้ภาพในระยะที่ซูมเข้าไปไกลกว่า และในเรื่องของการซูมนั้น iPhone 12 Pro สามารถซูมแบบออปติคอลได้ 2 เท่า และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 10 เท่า ส่วน iPhone 12 Pro Max สามารถซูมแบบออปติคอลได้ 2.5 เท่า และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 12 เท่า ซึ่งซูมได้มากกว่าและเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า
สำหรับการถ่ายวิดีโอ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max สามารถบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision ได้สูงสุด 60 fps และรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K ได้สูงสุดที่ 60 fps จึงทำให้ได้ภาพที่มีสีสันสดใสสมจริง ทั้งยังมีความคมชัดในระดับที่สามารถถ่ายภาพยนตร์ได้เลย แต่ก็อาจมีข้อจำกัดในการรับชมบนอุปกรณ์ที่ไม่รองรับความชัดระดับนี้ อีกทั้งมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ และยังมาพร้อมการเก็บบันทึกเสียงสเตอริโอที่ยอดเยี่ยมด้วย
ข้อมูลผู้ใช้ร่วมแสดงความเห็นกับ : iPhone 12 Pro
https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=462370
ข้อมูลผู้ใช้ร่วมแสดงความเห็นกับ : iPhone 12 Pro Max
https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=462371
แคตตาล็อกตัวเครื่อง iPhone 12 Pro
https://www.siamphone.com/spec/apple/iphone_12_pro.htm
แคตตาล็อกตัวเครื่อง iPhone 12 Pro Max
จอ OLED 10-bit
1188 x 2790 พิกเซล
กล้องหน้า 16MP
Qualcomm Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core
Android 13
RAM 8 GB
ROM 256 GB
4,310 mAh
ชาร์จไว 33W
nubia Flip สมาร์ทโฟน หน้าจอ 6.9 นิ้ว Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core ราคา 19,990 บาท