สำหรับ Mi 11 Ultra ถือว่าเป็นตัวสุดในรุ่นของ Mi 11 Series ซึ่งล่าสุดยกขบวนมามาวางขายในไทยอย่างเป็นทางการ สมทบ Mi 11 ที่วางขายไปแล้วก่อนหน้า ซึ่งใครที่ว่า Mi 11 ดูดีมาสุดทางไปแล้ว ขอบอกเลยว่า Mi 11 Ultra มาสุดทางครบเครื่องกว่าเยอะ โดยตัวเครื่องใช้วัสดุแบบเซลรามิกสุดแข็งแกร่งดูพรีเมี่ยม เครือบด้วยกระจก Gorilla Glass Victus อีกชั้น พร้อมจอโค้ง 4 ด้านพาแนล AMOLED ความละเอียด WQHD+ อัตรา Refresh Rate สูงสุด 120Hz และยังมีไฮไลท์เด็ดคือหน้าจออีกอันในส่วนฝาหลัง ในขณะที่กล้องหลังใช้เซนเซอร์ Samsung GN2 ขนาดใหญ่ถึง 1/1.12 นิ้ว เพิ่มรายละเอียดในการถ่ายรูปตอนกลางคืน และยังบันทึกวิดีโอได้สูงสุดระดับ 8K จากที่ว่ามายังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Mi 11 Ultra เท่านั้น ความน่าสนใจยังมีอีกเยอะในรีวิว
ขนาดตัวเครื่องของ 164.3x74.6x8.38 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 234 กรัม ตัวเครื่องอาจจะดูใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนปกติเล็กน้อย และมีน้ำหนักที่หนักพอสมควร แต่ก็ยังจับให้งานได้ถนัด ส่วนมือผู้หญิงอาจต้องใช้ 2 มือในการใช้งานในบางกิจกรรม
หน้าจอแสดงผลโค้ง 4 ด้าน พาแนล AMOLED กว้าง 6.81 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ (3200x1440 พิกเซล) อัตราส่วน 20:9 ใช้ดีไซน์รอยแหว่งแบบจอเจาะรู รองรับเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และมีการเคลือบด้วยกระจก Gorilla Glass Victus
ส่วนเหนือหน้าจอ รอยแหว่งจอเจาะรูจะอยู่มุมบนซ้าย ในนั้นมีกล้องหน้า ความละเอียด 20MP และขอบหน้าจอด้านบนมีลำโพงเสียงสำหรับการสนทนา
ส่วนล่างหน้าจอแสดงผล ไม่มีปุ่มการใช้งานใดๆ ซึ่งปุ่มนำทางจะมาในรูปแบบซอฟแวร์ แต่อีกจุดสังเกตุคือ ขอบหน้าจอได้ยืดออกไปกว้างมากๆ กินพื้นที่ส่วนตัวเครื่องไปเยอะพอสมควร
ข้างซ้ายตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตการใช้งานใดๆ
ข้างขวาตัวเครื่อง มีปุ่มยาวสำหรับเพิ่มเสียงลดเสียง และปุ่มเล็กเป็นปุ่มเพาเวอร์เพื่อเปิดปิดเครื่อง หรือพักหน้าจอ
บนตัวเครื่อง ขวาสุดเป็นเซนเซอร์ IR ถัดมาทางซ้ายคือรูไมโครโฟน ลำโพงเสียง และซ้ายสุดมีข้อความเขียนกำกับไว้ว่า Sound By Harman/Kardon
ใต้ตัวเครื่อง ซ้ายสุดเป็นช่องใส่ถาดซิมการ์ด โดยถาดรองรับ Nano SIM 2 ช่อง ตรงกลางคือพอร์ต USB Type-C ทางขวาเป็นรูไมโครโฟน และลำโพงเสียง
ผลิกมาที่ฝาหลังตัวเครื่อง จะพบกับโมดูลสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่นูนขึ้นมาจากฝาหลัง ในนั้นมีกล้องหลัง 3 เลนส์ และไฟแฟลช นอกจากนี้ทางขวาของโมดูลยังมีอีกหน้าจอแสดงผล สำหรับดูการแจ้งเตือน หรือสถานะเล็กๆ น้อย และยังเป็นหน้าจอไว้สำหรับถ่ายรูปก็ได้
ส่วนดีไซน์ฝาหลังนั้นจะเงางามดูพรีเมี่ยมเป็นพิเศษ และมีความแข็งแกร่งสูงเพราะใช้วัสดุอย่างเซรามิก ซึ่ง Mi 11 Ultra จะมีให้เลือก 2 สีคือ Ceramic Black และ Ceramic White โดยเครื่องที่ได้มารีวิวเป็น Ceramic Black
อุปกรณ์ภายในกล่อง
สเปคของ Xiaomi MI 11 Ultra
RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน
ตัวเลือก RAM และ ROM ของ Mi 11 Ultra จะเป็น 12GB + 256GB และเป็นแบบ LPDDR5 + UFS 3.1 แน่นอนว่าการทำงานจะมีความไหลลื่น พร้อมอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการเปิดเครื่องมาครั้งแรก ระบบและแอพฯ เริ่มต้นมีการกินพื้นที่ไปกว่า 19.5GB ทำให้เหลือพื้นที่ใช้งานจริงๆ 236.5GB
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการ Mi 11 Ultra จะรันบน MIUI 12.0.1 เวอร์ชั่น Global บนพื้นฐาน Android 11 ซึ่ง MIUI ปัจจุบันไม่ได้เลอะเทอะเหมือนแต่ก่อน ทีความคลีนมากขึ้น ส่วนเรื่องการทำงานก็เข้ากับฮาร์ดแวร์ได้ดี
หน้าจอหลัก
ในส่วนหน้าจอหลักก็ดูเรียบง่าย ใช้ไอคอนของแอพฯ แบบสี่เหลี่ยมขอบบน (ปรับแต่งได้เองในการตั้งค่า) และสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บแอพฯ ไว้บนหน้าจอหลักทั้งหมด หรือเก็บไว้ในลิ้นชัก โดยทั้งหมดสามารถไปปรับแต่งตามใจชอบได้ที่ การตั้งค่า > หน้าจอหลัก
รูปแบบศูนย์ควบคุมแบบใหม่
ปกติศูนย์ควบคุมจะเปิดได้ด้วยการปัดหน้าจอทางด้านบนลง ซึ่งในนั้นจะมีการแจ้งเตือนรวมอยู่ด้วย แต่ MIUI 12 จะให้ผู้ใช้งานเลือกได้เองว่าจะดูการแจ้งเตือน หรือเปิดศูนย์ควบคุม ด้วยการปัดหน้าจอบนส่วนซ้าย เพื่อดูการแจ้งเตือน และปัดหน้าจอบนส่วนขวา เพื่อเปิดศูนย์ควบคุม สามารถเข้าไปปรับแต่งได้ที่ การตั้งค่า > การแจ้งเตือนและศูนย์ควบคุม > รูปแบบศูนย์ควบคุม
การนำทางระบบ
การทำทางเริ่มต้นจะเป็นแบบ 3 ปุ่มคือ ปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มโฮม และปุ่มแอพฯ ก่อนหน้า แต่ผู้ใช้งานก็สามารถเปลี่ยนเป็นแบบท่าทางได้ โดยเข้าไปที่ การตั้งค่า > หน้าจอหลัก > การนำทาง
โหมดมืด
การใช้งานโหมดมืดจะช่วยให้ใช้งานในตอนกลางคืน หรือที่แสงน้อยได้สบายตามากขึ้น เนื่องจากระบบจะมีการเปลี่ยนธีมเป็นสีนั้นเอง ทั้งนี้ Mi 11 Ultra ยังมีหน้าจอพาแนล AMOLED เมื่อใช้งานในโหมดนี้จะเป็นการประหยัดพลังงานได้อีกแรง สามารถไปเปิดใช้งานได้ที่ การตั้งค่า > การแสดงผล > โหมดมืด
ปรับอัตรา Refresh Rate
ในการเริ่มต้นอัตรา Refresh Rate ของ Mi 11 Ultra จะถูกปรับไปที่ 60Hz ซึ่งใครที่อยากได้อนิเมชั่นดูลื่นๆ ปัดอะไรไปหน้าจอเลื่อนตามทันที ก็สามารถไปปรับเป็น 120Hz ได้ โดยเข้าไปที่ การตั้งค่า > การแสดงผล > อัตรารีเฟรช
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
ทดสอบเซ็นเซอร์ด้วยโปรแกรม Android Sensor Box พบเซ็นเซอร์ดังนี้
หน้าจอแสดงผลสีตรงคมชัด ลื่นด้วย Refresh Rate 120Hz
จุดเด่นของ Mi 11 Ultra ถือว่าไล่มาตั้งแต่หน้าจอแสดงผล โดยหน้าจอแสดงผลของสีได้อย่างสวยงาม ด้วยพาแนล AMOLED กว้าง 6.81 นิ้ว ความละเอียดสุดคมชัดระดับ 2K (3200x1440 พิกเซล) ให้สีได้มากถึง 1.07 พันล้านสี รองรับคอนเทนด์ HDR10+ และ Dolby Vision ปรับความสว่างได้สูงสุด 1700nits มีการรับรองจาก DisplayMate ยกให้เป็นหน้าจอถนอมสายตาระดับ A+ และไฮไลท์เด่นเลยคือ อัตรา Refresh Rate สูงสุดถึง 120Hz และอัตราความเร็วในสัมผัส 480Hz จากที่ทดลองใช้จริงก็พบว่าสีสันสวยงาม แสดงผลได้ชัด และลื่นมากเมื่อเปิด Refresh Rate ที่ 120Hz แถมดีไซน์ยังสวยงาม เพราะเป็นหน้าจอโค้งทั้ง 4 ด้าน
หน้าจอแสดงผลที่ 2 อยู่ด้านหลัง
อีกหนึ่งความพิเศษของ Mi 11 Ultra คือการมีหน้าจออีกอันทางด้านหลัง (บนโมดูลใหญ่ๆ) ซึ่งมีไว้บอกข้อมูลบางส่วนเช่น เวลา, วันที่, แบตเตอรี่ และการแจ้งเตือน โดยหน้าจอนี้สามารถปลุกมาดูได้ด้วยการแตะลงไป 2 ครั้ง ในขณะที่รูปแบบของหน้าจอส่วนนี้ยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ด้วย โดยการเข้าไปที่ การตั้งค่า > คุณลักษณะพิเศษ > จอแสดงผลด้านหลัง ในนั้นจะมีตัวเลือกให้ปรับแต่งสี ใส่ลายเซ็น ใส่รูปภาพได้ตามใจชอบ หรือให้เปิดเป็น Always Mode ก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ หน้าจอทางด้านหลังยังใช้ในการถ่ายเซลฟี่ได้ด้วย ซึ่งเป็นการใช้กล้องหลังถ่ายเซลฟี่ และหน้าจอตรงส่วนนี้ใช้เพื่อดูภาพพรีวิว แน่นอนว่าการเซลฟี่จากกล้องหลังต้องได้ภาพที่ละเอียด และส่วนงามกว่าพอสมควร
ความบันเทิงแบบจัดเต็ม ลำโพงคู่ Harman/Kardon
พลังเสียงจากลำโพงก็โดดเด่นมากทีเดียว ด้วยการจับมือร่วมพัฒนากับ Harman/Kardon ทำให้ลำโพงคู่ของ Mi 11 Ultra นั้นมีเสียงคุณภาพสูง ซึ่งเสียงที่ออกมาก็ฟังสบายชัดแจ๋ว หรือจะปรับเป็นเสียงดังสุด ก็ยังได้เสียงที่ดังคมชัดแต่ไม่บาดหู
ชิปเซ็ต Snapdragon 888
Qualcomm Snapdragon 888 จะเป็นชิปเซ็ตให้กับ Mi 11 Ultra ซึ่งแน่นอนว่าเป็นชิปเซ็ตตัวแรงประจำครึ่งปีแรกของปี 2021 ทำให้การทำงานทุกอย่าง ทุกฟีเจอร์มีความรวดเร็วสูง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากที่ใช้งานก็รุนแรงจริงๆ มีความลื่นในการทำงานทุกอย่าง ไม่มีอาการติดขัดให้เห็นเลย
รองรับสัญญาณ 5G
Mi 11 Ultra จะเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงอีกรุ่นที่รองรับสัญญาณ 5G โดยภายในจะได้โมเดม Snapdragon X60 5G เพื่อให้ใช้งานสัญญาณ 5G อย่างราบรื่น ซึ่งโมเดม Snapdragon X60 5G จะอยู่ภายในชิปเซ็ต Snapdragon 888 ทำให้การส่งข้อมูลมีความรวดเร็วสูง พร้อมกับการประหยัดพลังงานที่มากขึ้น
ทดสอบการเล่นเกม
ระดับ Ultra ก็สามารถเล่นเกมแบบ Ultra ได้แน่นอน ประกอบกับระบบ Game Turbo ทำให้การเล่นเกมมีประสิทธิภาพระดับสูง และเล่นเกมแบบลื่นๆ ด้านการระบายความร้อยจะใช้ระบบ Vapor Chamber ขนาดใหญ่ช่วยสลายความร้อนได้ดีตลอดเวลา และยังมีตัวนำความร้อนที่ดีขึ้น
โดยการทดสอบได้ลองเล่นเกม PUBG Mobile สามารถปรับกราฟฟิกระดับ Ultra HD ได้เลย พร้อมดันเฟรมเรตไปถึง Ultra ซึ่งได้ภาพที่สวยงามมากขึ้น แต่หากจะให้ลื่นๆ แบบโหมดจริงจังแนะนำว่าปรับเป็น HDR HD และใช้เฟรมเรตแบบสูงสุดจะได้ fps ที่มากกว่า
ส่วนอีกเกมเป็น Genshin Impact สามารถปรับกราฟฟิกได้ระดับสูงสุด และปรับเฟรมเรตเป็น 60fps ได้ แต่การตั้งค่าแบบนี้ แม้ว่าเครื่องจะเล่นไหว แต่ก็มีการดูดแบตเตอรี่ที่เยอะ แถมเล่นไปนานเครื่องจะร้อนพอสมควร ซึ่งแนะนำให้ปรับแบบ กลาง และดันเฟรมเรตเป็น 60fps จะไม่ตึงเครื่องจนเกินไป
ระบบความปลอดภัย
การสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ จะเป็นหนึ่งในระบบความปลอดภัยของ Mi 11 Ultra แน่นอนว่าจะใช้เป็นเทคโนโลยี 3D Sonic Sensor รุ่นที่ 2 จาก Qualcomm ซึ่งมีความแม่นยำรวดเร็วมากขึ้น และมีพื้นที่ในการสแกนมากกว่ารุ่นก่อนถึง 77% ส่วนการสแกนใบหน้า Mi 11 Ultra ก็มีให้ใช้งานเช่นกัน โดยทั้ง 2 ระบบมีการใช้งานที่รวดเร็วเอาเรื่อง และมีความแม่นยำมากทีเดียว
แบตเตอรี่ 5,000mAh ชาร์จเร็วทั้งสาย และไร้สาย 67W
แบตเตอรี่ของ Mi 11 Ultra จะได้มาถึง 5,000mAh เรียกว่าเป็นขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานมาตรฐานทั้งวัน ส่วนการทดสอบเล่นเกม PUBG Mobile กราฟฟิกระดับ Ultra HD ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จากแบตเตอรี่ 64% ลดลงมาเหลือประมาณ 48% (อาจจะไม่ได้เล่นติดต่อกัน บางครั้งรอคิวนาน และตายไว T-T)
ความว้าวยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะการชาร์จเร็วยังรองรับทั้งไร้สาย และผ่านสาย สูงถึง 67W โดยการทดสอบจากชาร์จแบตเตอรี่ผ่านสายด้วยอะแดปเตอร์ 67W (แถมมาให้ในกล่อง) จากแบตเตอรี่ 18% ชาร์จไป 35 นาทีก็เต็มแล้ว และช่วงแรกๆ ใช้เวลาเพียง 10 นาทีแบตเตอรี่ก็ขึ้นมาถึง 50% เรียกว่าเร็วระดับน่าประดับใจทีเดียว
ทดสอบการใช้งานกล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปของ Mi 11 Ultra ถือว่าเป็นความโดดเด่นที่สุดในรุ่นนี้ โดยกล้องหลังติดตั้งมา 3 เลนส์ก็จริง แต่เลนส์แต่ละตัวนั้นอัดแน่นด้วยคุณภาพ โดยเฉพาะเลนส์หลักที่ใช้เซนเซอร์ Samsung GN2 ความละเอียด 50MP มีขนาดเซนเซอร์ใหญ่ระดับ 1/1.12 นิ้ว ช่วยให้ถ่ายภาพได้อย่างละเอียดสวยงาม โดยเฉพาะภาพในตอนกลางคืน แถมบันทึกวิดีโอความละเอียดได้สูงสุดถึง 8K นอกจากนี้มีเทคโนโลยี Dual Pixel Pro ช่วยในการออโต้โฟกัสสุดแม่นยำ และ Dual Native ISO Fusion ช่วยในการบันทึกวิดีโอแบบ HDR10+ สว่างสวยงาม
ต่อมาเป็นเลนส์ Ultra-wide angle ความละเอียด 48MP เพิ่มมุมกว้างได้ถึง 128 องศา และอีกเลนส์เป็น Telephoto ความละเอียด 48MP จัดการซูมได้สูงสุด 120 เท่า และ Optical 5 เท่า สุดท้ายเป็นกล้องหน้า ความละเอียด 20MP รองรับการทำงาน Selfie Night Mode เพิ่มลูกเล่นการถ่ายเซลฟี่ตอนกลางคืน กล้องทั้งหมดมีการทำงานร่วมกับ AI ในการปรับแต่งภาพให้สวยงามในโหมดต่างๆ
โหมด 50MP จะเป็นการดึงประสิทธิภาพของเลนส์หลักอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยให้ภาพความละเอียดสูงถึง 6120x8160 พิกเซล และสามารถใช้ร่วมกับโหมดมุมกว้างได้ด้วย ด้วยความละเอียดสูงแบบนี้จะเป็นผมดีสำหรับคนที่ต้องการครอปภาพ ไม่ว่าจะครอปส่วนไหนภาพก็ยังมีความคมชัดอยู่
โหมดมาโคร หรือโหมดการถ่ายภาพระยะใกล้ๆ ยังทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โฟกัสและให้รายละเอียดภาพยังดูเพียนๆ แต่เชื่อว่าทาง Xiaomi น่าจะออกการอัปเดตแก้ไขในจุดนี้ภายหลัง
โหมดกลางคืนถือว่าเป็นจุดขายของ ด้วยเลนส์หลักที่ใช้เซนเซอร์ Samsung GN2 ขนาด 1/1.12 นิ้ว ซึ่งเป็นเซนเซอร์ขนาดใหญ่มาก ทำให้รับแสงได้มาก และยังมีโหมดความฉลาดของการประมวลภาพอย่าง AI multi-frame fusion ช่วยให้นำภาพหลายๆ ภาพมาซ้อน จนเกิดภาพตอนกลางคืนที่สวยงาม
เลนส์ Telephoto ความละเอียด 48MP จะช่วยให้ Mi 11 Ultra ซูมภาพได้สูงสุดถึง 120 เท่า, ซูมแบบ Hybrid 10 เท่า และซูมแบบ Optical 5 เท่า ซึ่งการซูมระยะไกลถือว่าให้รายละเอียดที่ดีมากทีเดียว ภาพที่ซูมไปไม่แตกมาก และยังเห็นว่าภาพนั้นคืออะไร เขียนว่าอะไร
ในส่วนเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 48MP จะสามารถเปิดมุมกว้างได้สูงถึง 128 องศา โดยภาพที่ออกมาดูไม่ค่อยเบี้ยวเหมือนเลนส์กว้างที่ผ่านมา และยังใช้งานร่วมกับระบบ AI ในการจดจำซีนอีกด้วย ทำให้ภาพมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ไม่พอแค่นั้นโหมดมุมกว้างยังใช้งานร่วมกับโหมดกลางคืน และโหมด 50MP ได้ด้วย เรียกว่าโหมดมุมกว้างที่หลายๆ คนชอบจะใช้ร่วมกับโหมดอื่นๆ แบบครบเครื่องทีเดียว
ภาพบุคคลจะใช้ได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง ซึ่งการเบลอจะดูเป็นธรรมชาติด้วยความฉลาดของระบบ AI และผู้ใช้งานยังปรับการเบลอได้ด้วยต้นเอง ซึ่งเลยได้เลยว่าจะเบลอน้อยเบลอมากแบบไหน
การถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้า ความละเอียด 20MP ถือว่ามีความสวยงามพอสมควร และมีการทำงานร่วมกับ AI ในการจดจำซีน รวมไปถึงการปรับแต่งหน้าสวยที่สามารถปรับแต่งหลายอย่างบนใบหน้าได้ ทำให้ใบหน้าออกมาดูดีอย่างมั่นใจ
การถ่ายเซลฟี่ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะหน้าจออีกอันในส่วนกล้องหลัง ทำให้ถ่ายเซลฟี่จากกล้องหลังได้ทันที แน่นอนว่าใช้กล้องหลังถ่าย ภาพก็ออกมามีคุณภาพสูง
โหมดโคลนเป็นลูกเล่นใหม่ในสมาร์ทโฟของ Xiaomi รุ่นใหม่ๆ ซึ่งเป็นการถ่ายภาพเฟรมเดียว แต่มีรูปคนต่างบทบาทอยู่ในภาพนั้น 3 คน ถือว่าเป็นการเพิ่มลูกเล่นให้กับการถ่ายภาพ พร้อมได้ความสนุกแบบไม่จำเจ
การบันทึกวิดีโอของ Mi 11 Ultra ก็จัดเต็ม และให้ความเป็นมืออาชีพ ด้วยความสามารถบันทึกวิดีโอละเอียดสูงสุดถึง 8K และเป็นการบันทึกแบบ HDR 10 ส่วน 4K จะเป็นการบันทึกวิดีโอ HDR10+ ซึ่งวิดีโอที่ออกมาจะมีความละเอียดสูง และให้แสงสีที่คมชัด ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกวิดีโอแบบย้อนแสงหรือไม่ ซึ่งเบื้องหลังความยอดเยี่ยมเหล่านี้ เป็นเพราะความฉลาดของเทคโนโลยี Native ISO Fusion ที่ช่วยลด Noise และ Motion Blur ได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังมีระบบ Dual Pixel Pro ที่ช่วยในเรื่องการโฟกัสอย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ไม่ว่าภาพจะเคลื่อนไหวอย่างไร ภาพก็ยังโฟกัสตลอดเวลา
คุณสมบัติการถ่ายภาพนิ่ง
คุณสมบัติการถ่ายวิดีโอ
ขอขอบคุณ : Xiaomi Thailand
ข้อมูลผู้ใช้ ร่วมแสดงความเห็นกับ : Mi 11 Ultra
https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=464377
แคตตาล็อกตัวเครื่อง : https://www.siamphone.com/spec/xiaomi/mi_11_ultra.htm
จอ OLED 10-bit
1188 x 2790 พิกเซล
กล้องหน้า 16MP
Qualcomm Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core
Android 13
RAM 8 GB
ROM 256 GB
4,310 mAh
ชาร์จไว 33W
nubia Flip สมาร์ทโฟน หน้าจอ 6.9 นิ้ว Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core ราคา 19,990 บาท