Huawei Watch 3 กลับมารอบนี้นอกจากจะเปลี่ยนชื่อรุ่นตัดคำว่า GT ออกไป ยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการของ Huawei เองอย่าง HarmonyOS 2.0 ทำให้หน้าตาของ UI จะมีการเปลี่ยนแปลงน่าใช้งานมากขึ้น และยังมีความลื่นมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอีกด้วย ส่วนฟังก์ชั่นการใช้งานก็มาครบตามสูตรสมาร์ทวอทช์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกกำลังกาย หรือด้านการติดตามสุขภาพของผู้ใช้งาน รวมไปถึงรองรับระบบ eSIM ที่ทำให้ตัว Huawei Watch 3 ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา

ดีไซน์เรียบๆ แต่ดูดี และมีเม็ดมะยมเหลือ 1 อัน
Huawei Watch 3 จะมีดีไซน์คล้ายๆ Huawei Watch GT 2 (42mm) ซึ่งเป็นทรงกลมเน้นความเรียบง่าย ไม่มีขอบนาฬิกา แต่ทำจากวัสดุที่แข็งแกร่งอย่าง Stainless Steel+Ceramic และจุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือเม็ดมะยมจะเพียงเหลือ 1 อัน ซึ่งสามารถหมุนใช้งานเพื่อเลื่อนเมนู และกดลงออกคำสั่งได้ โดยการตั้งค่าเริ่มต้นจะเป็นหน้าแอพฯ ทั้งหมด

ส่วนสายรัดข้อมือของ Huawei Watch 3 จะมีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบคือ Fluoroelastomer, Leather, nylon , และ Stainless steel โดยรุ่นที่ได้มารีวิวจะเป็น Fluoroelastomer ซึ่งคล้ายๆ ซิลิโคน จึงเหมาะกับการใช้งานได้การออกกำลังกาย

วิธีเริ่มใช้งาน และการเชื่อมต่อ
วิธีเริ่มใช้งานครั้งแรก จะต้องเชื่อมต่อไร้สายกับสมาร์ทโฟน Android 6.0 หรือ iOS 9.0 ขึ้นไป และมีแอพพลิเคชั่น Huawei Health อยู่ในเครื่อง ซึ่งแอพฯ นี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง App Store และ Play Store จากนั้นให้เปิดแอพฯ Huawei Health ในนั้นจะมีให้เลือกเชื่อมต่อ 2 วิธีคือ ผ่านการสแกนหาสัญญาณ Bluetooth หรือใช้ QR Code ที่ปรากฏในหน้าจอของ Huawei Watch 3

หน้าจอ AMOLED เปลี่ยนหน้าปัดได้หลากหลาย
หน้าปัดของ Huawei Watch 3 เป็นแบบหน้าปัดกลม มีการแสดงสีสันได้อย่างสดใส และให้ความคมชัดที่ดีเยี่ยม เพราะใช้เป็นพาแนล AMOLED โดยมีความกว้าง 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466x466 พิกเซล ความละเอียดพิกเซล 326ppi ส่วนหน้าปัดก็มีให้เลือกหลากหลายทีเดียว พร้อม Widget ในหน้าปัดให้เลือกปรับแต่งได้เอง โดยเริ่มต้นจะให้เลือกในคลังอยู่แล้วถึง 32 แบบ แต่ก็สามารถหาซื้อรูปแบบดีไซน์ที่สวยกว่าเดิมได้ในแอพฯ Huawei Health

 

 

รองรับโหมด Always On Display
Huawei Watch 3 มาพร้อมโหมด Always On Display ด้วย ซึ่งจะเป็นการโชว์ข้อมูลบางส่วนในขณะพักหน้าจอ และยังมีตัวเลือกดีไซน์ให้ปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ทั้งนี้การเปิดใช้งาน Always On Display เป็นการใช้พลังงานมากขึ้น สามารถไปเปิดการใช้งานได้ที่ การตั้งค่า > หน้าปัดนาฬิกาและตัวเปิดการใช้งาน > แสดงเสมอ

ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0 ลื่นขึ้นจริงๆ
การเปลี่ยนมาใช้งานระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0 ถือว่าทำได้ดีจริงๆ เพราะระบบมีการทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ได้ดี ช่วยให้การทำงานมีความลื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอนิเมชั่นเคลื่อนไหว หรือการสัมผัสของหน้าจอ ใครที่เคยใช้ Huawei Watch รุ่นก่อนหน้าจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้ดี เรียกว่าเป็นอีกความสำเร็จของระบบปฏิบัติการ HarmonyOS ก็ว่าได้

UI สวยขึ้น โดยเฉพาะหน้ารวมแอพฯ
นอกจากความลื่นของระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0 การปรับแต่งดีไซน์ของ UI ก็ทำได้ดี และสวยงามกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะในหน้ารวมแอพพลิเคชั่น ที่เป็นรูปแบบตาราง หรือ Grid ช่วยให้ง่ายต่อการหาแอพฯ แถมยังมีอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวที่ดูเป็นธรรมชาติ และไหลลื่นอีกด้วย

มาพร้อม AppGallery ดาวน์โหลดแอพฯ เพิ่มเติมได้เอง
อีกสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0 นั้นก็คือ AppGallery ซึ่งทำให้ Huawei Watch 3 สามารถดาวน์โหลดแอพฯ อื่นมาใช้งาน และเสริมความสะดวก หรือประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้นไม่ทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ทาง Huawei ก็มีการจับมือกับผู้พัฒนาแอพฯ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง และการท่องเที่ยว เพื่อให้ Huawei Watch 3 สามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

โหมดออกกำลังกายมากกว่า 100 โหมด
เรื่องการออกกำลังกาย Huawei Watch 3 ก็ตอบโจทย์ให้แบบเต็มที่ โดยมีโหมดออกกำลังกายให้ใช้งานกว่า 100 โหมด มีโหมดโปรถึง 19 โหมดทั้งในร่ม และกลางแจ้ง ทั้งนี้ยังสามารถปรับแต่งโหมดได้เองกว่า 85 โหมดกีฬา และมีการเริ่มเข้าโหมดออกกำลังกายให้แบบอัตโนมัติกว่า 6 ชนิดกีฬา ส่วนคนที่ชอบกีฬาปีนเขา หรือกีฬา Adventure ต่างๆ ทาง Huawei Watch 3 ก็มีแอพฯ ที่ช่วยตรวจจับสภาพความกดอากาศ และวัดความสูงให้ด้วย ใครที่เป็นขาลุยน่าจะชื่นชอบอย่างแน่นอน

 

 

ฟังก์ชั่นติดตามสุขภาพมาครบ
ก็เป็นไปตามหลักสูตรของสมาร์ทวอทช์ในปัจจุบัน ที่จะใส่ใจเรื่องของสุขภาพของผู้ใช้งาน เพราะนอกจากจะมีโหมดออกกำลังกายแล้ว ฟังก์ชั่นการติดตามสุขภาพก็ต้องมีมาครบ โดย Huawei Watch 3 ก็ไม่พลาดในส่วนนี้ ซึ่งมีทั้ง การติดตามการเต้นของหัวใจ, วัดค่า SpO2, ติดตามการนอนหลับ, ตรวจจับความเครียด, และการตรวจวัดอุณหภูมิของผิวหนัง

  • การติดตามการเต้นของหัวใจ : ระบบติดตามการเต้นของหัวใจ จะมีให้ปรับทั้งติดตามเป็นระยะๆ หรือตั้งค่าให้วัดการเต้นของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งระบบจะบอกเป็นกราฟ หรือจะดูอย่างละเอียดก็ให้ซิงค์ลงสมาร์ทโฟน และให้เข้าไปดูในแอพฯ Huawei Health ทั้งนี้การตั้งค่าให้ตรวจจับการเต้นของหัวใจ 24 ชั่วโมง จะเป็นการใช้พลังงานมากขึ้น

  • ติดตามการนอนหลับ : ในส่วนของระบบติดตามการนอนหลับ จะทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้งานสวมใส่ Huawei Watch 3 ในขณะนอนหลับ โดยการติดตามจะติดตามตลอดระยะเวลาที่ผู้ใช้งานนอนหลับ และวินิจฉัยออกมาว่าในแต่ละช่วงเวลามีพฤติกรรมในการนอนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งมีการแบ่งพฤติกรรมเป็น 4 อย่างคือ นอนหลับสนิท, นอนน้อย, REM, และตื่น จากนั้นระบบจะตัดเกณฑ์ออกมาเป็นคะแนน เพื่อให้นำไปปรับพฤติกรรมในการนอน สามารถดูรายละเอียดได้ในแอพฯ Huawei Health

  • ตรวจจับความเครียด : ฟังก์ชั่นตรวจจับความเครียด จะทำงานแบบอัตโนมัติ หากมีความเครียดที่เกินมาตรฐาน ระบบจะทำการแจ้งเตือนขึ้นมา ซึ่งผู้ใช้งานสามารถใช้แอพฯ กำหนดลมหายใจ เพื่อลดความเครียดลงได้

  • SpO2 : ฟังก์ชั่นวัดค่า SpO2 หรือการวัดค่าออกซิเจนในเลือด ทาง Huawei Watch 3 ก็มีมาให้ใช้งานเช่นกัน โดยระบบจะวัดค่าออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ ถ้าอยู่ในระดับ 90% ขึ้นถือว่าปกติ แต่หากต่ำกว่านั้นร่างกายอาจจะกำลังมีปัญหา อย่างไรก็ตามการวัดนี้ไม่ได้เป็นการวัดค่าที่แน่นอน ไม่สามารถใช้ในทางการแพทย์ได้ ทั้งหมดควรใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงส่วนบุคคลเท่านั้น

  • การตรวจวัดอุณหภูมิของผิวหนัง : ฟังก์ชั่นการตรวจวัดอุณหภูมิของผิวหนัง ถือว่าเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งอุณหภูมิปกติจะอยู่ราวๆ 32-34 องศาเซลเซียส

ควบคุมเพลง และเป็นปุ่มกดชัตเตอร์ให้สมาร์ทโฟนได้
Huawei Watch 3 จะสามารถซิงค์เพลงจากอุปกรณ์อื่นมาเล่นเพลงในตัวได้ แถมยังเป็นตัวควบคุมการเล่นเพลงบนอุปกรณ์อื่นได้อีกไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน, ลำโพงอัจฉริยะ หรือสมาร์ททีวี

นอกจากควบคุมการเล่นเพลงได้แล้ว Huawei Watch 3 ยังเปลี่ยนเป็นปุ่มชัตเตอร์ให้กับสมาร์ทโฟนได้ด้วย เรียกว่าเพิ่มความสะดวกในการใช้งานกล้องถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟนขึ้นมาอีกขั้น

รับการแจ้งเตือน พร้อมรับสายเรียกเข้าทันที
หาก Huawei Watch 3 มีการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth กับสมาร์ทโฟน ก็จะสามารถรับการแจ้งเตือน หรือรับสายเรียกเข้าไปเลย โดยไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา ส่วนการแจ้งเตือนจะใช้ได้เฉพาะแอพพลิเคชั่นที่รองรับ ซึ่งในการทดสอบใช้งาน เหล่าแอพฯ หลักๆ อย่างเช่น Line, Facebook, Messenger ก็เป็นแอพฯ ที่รองรับทั้งหมด

ในขณะที่การรับสายโทรเข้า Huawei Watch 3 ก็มีทั้งไมโครโฟน และลำโพงในตัว ทำให้การรับสายสามารถพูดคุยผ่าน Huawei Watch 3 ได้ทันที ซึ่งเสียงก็ดังพอสมควร และคู่สายก็สามารถฟังได้อย่างชัดเจน

รองรับการใช้งาน eSIM
Huawei Watch 3 จะรองรับระบบ eSIM นั้นแสดงว่า Huawei Watch 3 จะไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา เพื่อรับการแจ้งเตือน รับสายเรียกเข้า หรือการฟังเพลงแบบสตรีมมิ่ง โดยการเปิดใช้งาน eSIM จะต้องไปเปิดบริการที่ผู้ให้บริการเครือข่าย

ใช้ท่าทางในการรับสาย
ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกดรับสายที่หน้าปัดของ Huawei Watch 3 เพียงแค่ใช่ท่าทางด้วยการ กำมืออย่างรวดเร็ว ระบบก็จะทำการรับสายให้แบบอัตโนมัติ สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ การตั้งค่า > ฟีเจอร์การเข้าถึง > ท่าทางการสัมผัส > รับสายด้วยท่าทาง

อายุการใช้งานแบตเตอรี่สุดๆ ถึง 2 สัปดาห์
แบตเตอรี่ของ Huawei Watch 3 จะใช้งานได้สูงสุดถึง 2 สัปดาห์ แต่เป็นการใช้งานในโหมด Ultra-long battery life หรือโหมดประหยัดพลังงาน ส่วนการทดสอบใช้งานจริง มีการเปิดการติดตามการเต้นของหัวใจตลอดเวลา ใส่นอน และเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อซิงค์ข้อมูลในบางครั้ง ก็ปรากฏว่าจาก 100% สามารถใช้งานได้ถึง 4 วัน จึงต้องนำไปชาร์จใหม่อีกครั้ง

ราคา และตัวเลือกสาย
ในตอนนี้ Huawei Watch 3 ก็เปิดให้พรีออเดอร์แล้วในประเทศไทย และจะจัดส่งในวันที่ 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2564 โดยมีเลือกสาย 2 แบบคือ Active Edition (สาย Fluoroelastomer) และ สาย Classic Edition (สายหนัง) สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12,990 บาท พิเศษใครที่สั่งจองช่วงพรีออเดอร์ก็รับไปเลย สาย HUAWEI EasyFit 3 Steel มูลค่า 9,990 บาทไปฟรีๆ

  • Active Edition ราคา 12,990 บาท
  • Classic Edition ราคา 14,490 บาท

อ่าน

แบ่งปันบทความ

ข้อมูลนาฬิกา

รีวิวโดย: ปิตุภูมิ นันทวิทยา ภาพโดย: สิรภพ ผิวทอง
วันที่ 14 กรกฎาคม 2564

VIEWS

แบ่งปันบทความ

สินค้าออนไลน์

ขึ้นด้านบน