หลังจากห่างหายไป 2 ปี ในที่สุด iPhone SE (2022) สมาร์ทโฟนสายคุ้มจากแบรนด์ Apple ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งมารอบนี้อัปเกรดภายในให้แรงขึ้นตามฉบับ iPhone SE Series โดยใช้ชิปเซ็ต A15 Bionic โดยเป็นชิปเซ็ตเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 13 Series ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกยังคงความคลาสสิกเหมือนเดิม พร้อมปุ่มโฮมอันเป็นเอกลักษณ์ของ iPhone ตั้งแต่รุ่นแรก
iPhone SE (2022) มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 138.4 × 67.3 × 73 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 144 กรัม ถือว่ายังคงเป็นสมาร์ทโฟนดีไซน์เล็กกระทัดรัด พกพาได้สะดวก และจัดใช้งานในมือเดียวแบบสบายๆ ส่วนดีไซน์เป็นแบบขอบโค้งทั้ง 4 ด้าน ไม่ได้เป็นขอบเรียบเหมือนกับ iPhone 13 Series
หน้าจอแสดงผล Retina HD พาแนล IPS-LCD กว้าง 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334x750 พิกเซล ปรับความสว่างได้สูงสุด 625nits
เหนือหน้าจอแสดงผล ทางซ้ายเป็นกล้องหน้า ความละเอียด 7MP ตรงกลางเป็นลำโพงเสียง มีไมโครโฟนตัว และขวาสุดเป็นไฟแจ้งเตือนสถานะ
ล่างหน้าจอแสดงผล จะพบกับปุ่ม Home และเป็นที่สแกนลายนิ้วมืออย่าง TouchID
ทางซ้ายตัวเครื่อง บนสุดเป็นปุ่ม Toggle ปรับเปลี่ยนโหมดเสียง และถัดลงมา 2 ปุ่มเป็นปุ่มเพิ่มเสียง กับลดเสียง
ทางขวาตัวเครื่อง ด้านบนเป็นปุ่มเพาเวอร์ และถัดลงมาเป็นถาดใส่ซิดการ์ด โดยถาดรองรับ Nano SIM 1 ช่อง
ส่วนบนตัวเครื่อง ไม่มีพอร์ต หรือปุ่มการใช้งานใดๆ
ส่วนใต้ตัวเครื่อง ตรงกลางเป็นพอร์ต USB Lightning และ 2 ข้างซ้ายขวา เป็นลำโพงเสียง พร้อมไมโครโฟน
พลิกมาที่ฝาหลังตัวเครื่อง จะพบกับกล้องหลัง 1 ตัวอยู่มุมบนซ้าย ความละเอียด 12MP ถัดมาทางขวาเป็นไมโครโฟน และไฟแฟลช LED ส่วนตรงกลางฝาหลังมีโลโก้ Apple สีเงินสะท้อนเงา
อุปกรณ์ภายในกล่อง
สเปคของ iPhone SE (2022)
พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน
iPhone SE (2022) จะมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลภายในให้เลือกถึง 3 ขนาดคือ 64GB, 128GB, และ 256GB โดยรุ่นที่ได้มารีวิวจะเป็น 256GB ซึ่งถึงว่าเป็นขนาดที่มากที่สุด สามารถเก็บไฟล์ เก็บรูปภาพวิดีโอ และดาวน์โหลดแอพฯ มาใช้งานได้แบบสบายๆ แต่หากยังไม่พอ ทาง Apple ก็มี iCloud ให้ฟรีๆ อีก 5GB ส่วนการเปิดเครื่องมาครั้งแรก นะบบจะกินพื้นที่ไปประมาณ 15GB ทำให้เหลือพื้นที่ใช้งานจริงๆ ประมาณ 241GB
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการจะใช้เป็น iOS 15 ตั้งแต่แกะออกจากกล่อง และล่าสุดถูกอัปเดตเป็น iOS 15.3 ไปเรียบร้อย ซึ่งฟีเจอร์การใช้งานพื้นฐานต่างๆ ก็มีมาให้ใช้ครบ แต่บางฟีเจอร์อาจจะถูกตัดออกไปบางส่วน เช่น FaceID แบบใส่หน้ากากอนามัย ซึ่ง iPhone SE (2022) ไม่มี FaceID มาด้วย
หน้าจอหลัก
ยังคงความเป็น iPhone เหมือนเดิมในส่วนหน้าจอหลัก โดยแอพฯ ทั้งหมดจะถูกจัดอยู่ตรงนี้ทั้งหมด และมีคลังแอพฯ อยู่ในหน้าสุดท้าย ส่วนดีไซน์จะเป็นสี่เหลี่ยมขอบมนทั้ง ไอคอนแอพฯ และ Widget นอกจากนี้ยังสามารถปัดหน้าจอทางด้านบนลงเพื่อดูการแจ้งเตือน และปัเดหน้าจอทางด้านล่างขึ้นเพื่อเปิด Control Panel
Widget บนหน้าจอหลัก
Widget บนหน้าจอหลักสามารถเพิ่มได้มาตั้งแต่ iOS 14 ซึ่ง iPhone SE (2022) ที่เป็น iOS 15 ตั้งแต่แกะกล่องก็ไม่มีปัญหาในส่วนนี้ ซึ่งมี Widget ให้เลือกเพิ่มมากมายตามสะดวก โดยเพิ่มได้ด้วยการ กดค้างในส่วนที่วางบนหน้าจอหลัก จากนั้นกดเครื่องหมาย + มุมบนขวา ก็จะมี Widget โผล่มาให้เลือกจัดวาง
โหมดมืด
โหมดมืดเป็าการเปลี่ยนธีมให้เป็นสีดำ ใช้ตัวหนังสือสีขาว และไอคอนที่ตัดกับสีดำได้ดี ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้ใช้งานในที่แสงน้อยได้สบายตามากขึ้น ใครที่ชอบโทนสีแบบเข้มๆ ก็เข้าไปเปลี่ยนได้ที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง
รองรับโหมด True Tone
หน้าจอแสดงผลจะใช้งานได้สบายตาไปอีก เมื่อเปิดใช้งานโหมด True Tone ซึ่งหน้าจอจะปรับสภาพแสง และลดแสงสีฟ้าออกให้แบบอัตโนมัติ ตามสภาพแวดล้อมที่กำลังใช้งานอยู่ โดยเข้าไปเปิดใช้งานได้ที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง > True Tone
โหมดโฟกัส
โหมดโฟกัส จะช่วยให้ผู้ใช้งานมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยในการจัดการการแจ้งเตือนในระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ หรือสามารถเลือกการแจ้งเตือนที่สำคัญๆ ได้ โดยมีให้เลือก 4 โหมดด้วยกันคือ ห้ามรบกวน, ส่วนบุคคล, ทำงาน, และนอนหลับ
ใส่เสื้อผ้าให้ Memoji
นี้คือลูกเล่นใหม่บน iOS 15 โดย Memoji จะมีความหลากหลายมากขึ้น โดยปกติจะเป็นการปรับแต่งหน้าตาเฉยๆ แต่มารอบนี้สามารถใส่เสื้อผ้าให้ตัว Memoji ได้ด้วย และ Memoji ยังสามารถใช้กับ Third-Party apps ในบางแอพฯ อีกด้วย
Copy ข้อความในภาพ
รู้หรือไม่ว่า iOS 15 สามารถใช้งานฟีเจอร์ Copy ข้อความในภาพ แต่เบื้องต้นยังไม่รองรับภาษาไทย โดยมีเพียง 7 ภาษาเท่านั้นที่รองรับคือ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน โปรตุเกส และสเปน หากอยากจะลองใช้งานก็ให้เปลี่ยนเป็นภาษาของเครื่องเสียก่อน โดยวิธีใช้งาน (หลังจากเปลี่ยนภาษาเครื่องเป็นอังกฤษ) ให้ไปที่ คลังภาพ จากนั้นก็เลือกภาพที่มีข้อความ และให้กดค้างที่ข้อความนั้น จะมีเมนูตัวเลือกเด้งขึ้นมา ซึ่งจะ Copy หรือแปลภาษานั้นก็ได้
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
ดีไซน์ตัวเครื่องแบบคลาสสิก
นึกว่าจะ iPhone SE Series ที่หายหน้าหายตาไป 2 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์กันบ้าง แต่แล้ว iPhone SE (2022) หลังจากเปิดตัวมาก็ยังคงดีไซน์แบบเดิม ถือว่าเป็นดีไซน์แบบคลาสสิก เน้นความเล็กพกพาสบาย และมีขอบแบบโค้งมนจับใช้งานได้ถนัด นอกจากนี้ทั้งด้านหน้า และด้านหลังยังครอบทับด้วยวัสดุกระจกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยทาง Apple มั่นใจเลยว่าเผลอทำตกได้ ไม่ต้องตกใจ แต่ทางเราขอไม่รีวิวในตรงนี้ T-T
บันเทิงแบบเล็กๆ ด้วยหน้าจอ 4.7 นิ้ว และลำโพงคู่ Stereo
หน้าจอแสดงผลอาจจะดูเล็กไปหน่อย ด้วยความกว้าง 4.7 นิ้ว แต่ใครที่เคยใช้ iPhone SE (2020) และ iPhone 8 ลงไป ก็ถือว่าไม่ต้องปรับตัวมาก ใช้งานได้แบบเดิมเลย ทั้งนี้ยังมาพร้อมความละเอียดที่พอประมาณระดับ HD+ (1334x750 พิกเซล) สามารถใช้ดูหนังได้ชัดพอประมาณ นอกจากนี้ยังมีลำโพงคู่ Stereo เสียงออกมาซ้ายขวาแบบมีมิติไปอีก แต่หากต้องการใช้หูฟังก็ต้องหาหูฟังแบบพอร์ต USB Lightning หรือหูฟังไร้สายมาเชื่อมต่อ
โดดเด่นจัดๆ จากชิปเซ็ตตัวแรง A15 Bionic
ไฮไลท์เด่นๆ ไปเลย กับชิปเซ็ต A15 Bionic ที่รอบนี้มาขับเคลื่อนให้กับ iPhone SE (2022) ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวเดียวกับ iPhone 13 Series แน่นอนว่าการทำงานต้องมีความรวดเร็วสูงมากๆ จะทำอะไรก็ลื่นไปหมด และยังมาพร้อมประสิทธิภาพกราฟฟิกที่ช่วยให้เล่นเกมหนักๆ ได้ไหลลื่น โดยทาง Apple เคลมว่า เร็วขึ้นจาก iPhone SE (2020) ถึง 1.2 เท่า
มาแล้วลูกจ้า เครือข่าย 5G ที่หนูอยากได้
ในที่สุด iPhone SE (2022) ก็รองรับเครือข่าย 5G กับเค้าด้วย ทำให้การใช้งานอินเตอร์เน็ตนอกบ้าน หรือที่ที่ไม่มี Wi-Fi ได้แบบความเร็วสูง นอกจากนี้ยังมีโหมดอัจฉริยะสลับโหมดข้อมูลให้ทันที ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้อีกทาง
ทดสอบการเล่นเกม
สบายหายห่วงกับการเล่นเกมบน iPhone SE (2022) ด้วยชิปเซ็ต A15 Bionic ก็แรงสนั่นแบบลื่นๆ พร้อมแสดงภาพสวยๆ กันไปเลย จากการทดสอบก็สามารถใช้เล่นเกมกินสเปคอย่าง Genshin Impact ได้อีกด้วย
ตัวเครื่องได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67
นอกจากตัวเครื่องจะใช้วัสดุกระจกเสริมความแข็งแกร่งทั้งด้านหน้า และด้านหลังไปแล้ว เรื่องของการกันน้ำกันฝุ่น ก็มาพร้อมาตรฐาน IP67 ทำให้กันฝุ่นได้อย่างดี และกันน้ำกระเด็นได้สบาย หรืออยู่ในน้ำลึกได้ 1 เมตร เวลา 30 นาที
Touch ID แบบคลาสสิก
ระบบความปลอดภัยไบโอเมตริก ยังเป็นแบบสแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID บนปุ่มโฮม ซึ่งการสแกนก็ไหลลื่น และรวดเร็วพอสมควร นิ้ววางปุ๊ปก็ปลดล็อกเครื่องเข้าใช้งานได้เลย
แบตเตอรี่อึดขึ้น 2 ชั่วโมง เมื่อดูวิดีโอติดต่อกัน
ขนาดแบตเตอรี่จะมีมากขึ้นจากรุ่นก่อน รวมไปถึงการจัดการพลังงานได้ดีขึ้นของชิปเซ็ต A15 Bionic ก็ทำให้ iPhone SE (2022) สามารถใช้งานดูวิดีโอติดต่อกันได้นานขึ้นไปอีก 2 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จก็รองรับการชาร์จเร็วผ่านสาย 20W และไร้สายแบบ Qi (แต่อะแดปเตอร์ต้องไปหาซื้อเอาเอง ไม่มีแถม)
การใช้งานกล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูป iPhone SE (2022) จะมีกล้องหลังเพียงตัวเดียว ความละเอียด 12MP และกล้องหน้าตัวเดียวเช่นกัน ความละเอียด 7MP โดยอาจดูเป็นกล้องที่น้อย ความละเอียดไม่เยอะเท่าไหร่ แต่การใช้งานจริงก็ถือว่าถ่ายได้ดีพอสมควร เพราะมีการทำงานร่วมกับ AI ของชิปเซ็ต A15 Bionic ช่วยปรับแต่งภาพให้ดูสวยขึ้น ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ แบบอัตโนมัติ
การถ่ายภาพปกติ
การถ่ายภาพปกติ จะมีเทคโนโลยี Deep Fusion ช่วยในเรื่องการถ่ายภาพในสถาวะแสงปานกลางถึงน้อย โดยระบบจะวิเคราะห์แสง และให้ความละเอียดพิกเซลต่อพิกเซล ทำให้ภาพยังมีรายละเอียดที่สวยงามออกมา นอกจากนี้ยังมี HDR อัจฉริยะ ช่วยให้ภาพปรับคอนทราสต์ได้ดีแบบอัตโนมัติ เวลาถ่ายน้อยแสงหน้าก็จะไม่ดำ และให้รายละเอียดออกมาอย่างดี
โหมด Portrait หรือภาพถ่ายบุคคล
โหมดภาพถ่ายบุคคล แม้ว่ามีกล้องเพียงเลนส์เดียว แต่การเบลอพื้นหลังก็ยังดูสวยงาม โดยมีการทำงานร่วมกับซอฟแวร์ในการเบลอพื้นหลังให้สวยงาม นอกจากนี้ยังสามารถใส่เอฟเฟคแสงได้ถึง 6 แบบคือ แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีขาวดำ, และแสงไฟขาวดำไฮคีย์
คุณสมบัติ สไตล์ภาพถ่าย
คุณสมบัติ สไตล์ภาพถ่าย คือปรับโทนสีของภาพให้ออกมาตามที่ต้องการ โดยสามารถปรับเป็นโทนสีอบอุ่น โทนสีเย็น หรือโทนสีสดใส ได้ตามต้องการ ซึ่งในระบบจะมีการตั้งค่าไว้ให้แล้ว แต่หากต้องการเพิ่ม หรือลดโทนต่างๆ ก็สามารถเลื่อนปรับเองได้ทางด้านล่าง
การถ่ายภาพจากกล้องหน้า
แม้ว่ากล้องหน้าจะมีความละเอียด 7MP แต่เอาจริงๆ ก็สามารถถ่ายเซลพี่ได้สวยระดับหนึ่ง พร้อมกับใช้งานในโหมด Portrait ได้ด้วย
ข้อมูลผู้ใช้ร่วมแสดงความเห็นกับ : iPhone SE (2022)
https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=466678
แคตตาล็อกตัวเครื่อง iPhone SE (2022)
https://www.siamphone.com/spec/apple/iphone_se_(2022).htm
Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Genmoji ใน iOS 18.2 สร้างอิโมจิแบบใหม่ที่ไม่เห...
Samsung Galaxy S25 Slim สุดยอดกล้องระดับไฮเอนด์ในตัวเครื่องที่บางเฉียบ
vivo Y200 5G สมาร์ทโฟนน้องเล็กสายแกร่ง พร้อมท้าทุกการใช้งาน ยาวนาน ...
Honor MagicPad 2 พบกับแท็บเล็ตจอ 144Hz ชิปเซ็ต Snapdragon 8s Gen 3
Belkin BoostCharge Pro แท่นชาร์จไร้สายแบบ 2-in-1 สาวก Apple ต้องมีต...
Samsung Galaxy A16 จอ FHD+ Super AMOLED ใหญ่ชัดเสมือนจริง กล้อง Tri...
พรีวิว Samsung Galaxy Z Flip 6 ครั้งแรกมือถือจอพับกันน้ำได้ Samsung เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy Z Flip 6 รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเฉดสีสไตล์มินิมอล สดใส เก๋ไก่ น่ารักเอามากๆ มี 4 เฉดสีใ...