ในที่สุดความแรงของชิปเซ็ต Apple M1 ก็ให้ iPad Air Series ได้สัมผัสกันบ้าง ซึ่งเป็น iPad Air (5th Gen) ที่ได้สัมผัสความรวดเร็วของชิป Apple M1 เป็นรุ่นแรกในซีรี่ย์นี้ โดยส่วนใหญ่รูปลักษณ์ภายนอกทั้งดีไซน์ และหน้าจอแสดงผล Liquid Retina กว้าง 10.9 นิ้ว จะเหมือน iPad Air (4th Gen) แต่ถูกอัดความแรงที่มากขึ้นเป็นเท่าตัวจากชิปเซ็ต Apple M1 พร้อม RAM ที่ให้มาสูงถึง 8GB นอกจากนี้ยังมีกล้องหน้า Ultra-Wide สนับสนุนฟีเจอร์ Center Stage โดย iPad Air (5th Gen) มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 20,900 บาทเท่านั้น (รุ่นที่ได้มรีวิวเป็น iPad Air (5th Gen) Wi-Fi 256GB)
iPad Air (5th Gen) ยังคงใช้ดีไซน์แบบขอบเรียบ โดยมีขนาดอยู่ที่ 247.6x178.5x.6.1 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 461 กรัม (รุ่น Wi-Fi) และ 462 กรัม (รุ่น Wi-Fi+Cellular) ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นขนาดที่เหมาะกับการเป็นแท็บเล็ต ตัวเครื่องไม่ใหญ่มาก และก็ไม่เล็กจนเกินไป
หน้าจอแสดงผล Liquid Retina พาแนล IPS-LCD กว้าง 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360x1640 พิกเซล
เหนือหน้าจอแสดงผล มีกล้องหน้า Ultra-Wide ความละเอียด 12MP
ล่างหน้าจอแสดงผล iPad Air (5th Gen) ไม่มีปุ่มการใช้งานใดๆ โดยการทำทางจะมาในรูปแบบท่าทาง Gesture
ทางซ้ายตัวเครื่อง iPad Air (5th Gen) ไม่มีปุ่มการใช้งานใดๆ
ทางขวาตัวเครื่อง มีปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง และถัดมาตรงกลางเป็นแถบแม่เหล็กสำหรับติด Apple Pencil รุ่นที่ 2
ส่วนบนตัวเครื่อง เป็นลำโพงเสียง และไมโครโฟน ส่วนทางขวาสุดคือปุ่มเพาเวอร์ เพื่อเปิดปิดเครื่อง iPad Air (5th Gen) และยังเป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือ Touch ID อีกด้วย
ส่วนใต้ตัวเครื่อง ก็พบกับลำโพงเสียง และตรงกลางเป็นพอร์ต USB Type-C
พลิกมาที่ฝาหลัง iPad Air (5th Gen) มุมบนซ้ายเป็นกล้องหลัง ความละเอียด 12MP พร้อมไมโครโฟน ส่วนตรงกลางเป็นโลโก้ Apple ถีเลงมาด้านล่างมีการเขียนกำกับไว้ว่า iPad Air และล่างสุดเป็นแทบแม่เหล็กสำหรับติดกับอุปกรณ์เสริม อย่างเช่นเคสคีย์บอร์ด
อุปกรณ์ภายในกล่อง iPad Air (5th Gen)
สเปคของ iPad Air (5th Gen)
RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน
หลังๆ มา ทาง Apple เริ่มบอกรายละเอีดยของ RAM เข้ามาด้วย ซึ่ง iPad Air (5th Gen) จะมาพร้อม RAM ขนาด 8GB ถือว่าเป็นขนาดที่เยอะมากๆ สำหรับอุปกรณ์ของ Apple ส่วนที่เก็บข้อมูลภายในจะมีให้เลือกทั้ง 64GB และ 256GB โดยรุ่นที่ได้มารีวิวมีขนาด 256GB จากการเปิดใช้งานครั้งแรก ระบบมีการกินพื้นที่ได้ประมาณ 14.4GB
ระบบปฏิบัติการ iPadOS 15
iPad Air (5th Gen) จะรันบนระบบปฏิบัติการ iPadOS 15 และล่าสุดถูกอัปเดตเป็น iPadOS 15.4 ซึ่งระบบจะมีการออกแบบ UI และ UX ให้เข้ากับการเป็นแท็บเล็ต สามารถใช้งานได้สะดวก รองรับการทำงานแบบมัลติทาสก์ได้ดี พร้อมความรวดเร็วในการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น
หน้าจอหลัก
หน้าจอหลักจะเป็นสไลต์ iPadOS ซึ่งจะรวมแอพฯ ทั้งหมดในหน้าจอหลัก พร้อมหน้าสุดท้ายที่เป็นคลังแอป สำหรับจัดหมวดหมู่ และรวมแอพฯ ทั้งหมดไว้หน้านี้ ทั้งนี้ที่หน้าจอหลักยังมีแถบ Dock อยู่ทางด้านล่าง เพื่อดูแอพฯ ที่ใช้งานล่าสุด และสามารถจัดวางแอพฯ ไว้ใน Dock ได้ ช่วยให้เปิดแอพฯ ใน Dock ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกลับมาหน้าจอหลักอีกครั้ง นอกจากนี้เมื่อปัดหน้าจอทางด้านบนลง จะเป็นการดูการแจ้งเตือน และปัดหน้าจอส่วนบนทางด้านขวาจะเป็นการเปิดแผง Control Panel
Widget ตามสไตล์ Apple
Widget เพิ่มได้บนหน้าจอหลัก ซึ่งก็ iPadOS ก็มีดีไซน์ Widget ที่เหมาะกับแท็บเล็ต และเพิ่มได้หลากหลายแบบ และมีรูปแบบทั้ง สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ สี่เหลี่ยมขนาดเล็ก และสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนการเพิ่ม Widget ต้องกดค้างในพื้นที่วางในหน้าจอหลัก และกดเครื่องหมายบวกทางมุมบนซ้าย
Split Screen และ หน้าต่าง Pop-Up
การแบ่งหน้าจอบน iPad Air (5th Gen) จะสามารถแบ่งได้ 2 หน้าจอ โดยเป็นแบบ Split Screen แบ่งหน้าจอ 2 ฝั่งซ้ายขวา หรือเป็นแบบ Pop-Up ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้ด้วยการกดเครื่องหมาย 3 จุดที่ด้านบน จากนั้นจะมีเมนูขึ้นมาให้เลือกว่าจะแบ่งหน้าจอแบบไหน
โน้ตด่วนใหม่
ฟีเจอร์โน้ตด่วนใหม่ จะช่วยให้จดข้อความได้ทันที โดยจะมีแอพฯ โน้ตเด้งขึ้นมาแบบ Pop-Up ในการทดลองใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ Safari เมื่อมีการ Crop ข้อความ จะมีเมนู โน้ตด่วนใหม่ ขึ้นมาให้เลือก จากนั้นแอพฯ โน้ตจะเด้งขึ้นมาให้จดข้อความทันที นอกจากนี้ยังสามารถใส่ลิ้งค์เว็บไซต์ลงไปในโน้ตได้ด้วย หากต้องการกลับมาดูข้อความที่จด ก็ให้เข้าไปที่แอพฯ โน้ต ในหน้าจอหลัก
พรีวิวลิ้งค์ ในเบราว์เซอร์ Safari
ในเบราว์เซอร์ Safari นอกจากจะมีความรวดเร็วในการท่องเว็บไซต์ ยังมีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ มากขึ้น แต่ที่น่าสนใจเห็นจะเป็นการพรีวิวหน้าเว็บต์ในลิ้งค์ต่างๆ เมื่อมีการกดค้างไปยังข้อความที่มีลิ้งค์ จะมีหน้าจอพรีวิวเว็บไซต์ขึ้นมา
โหมดมืด
การเริ่มใช้งานในโหมดมืด จะเป็นการปรับเปลี่ยนธีมเป็นสีดำ และใช้ตัวหนังสือสีขาว รวมไปถึงไอคอนต่างๆ จะดูตัดกับสีดำได้ดี ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้ใช้งานได้สบายตามากขึ้นในที่แสงน้อย สามารถไปเปิดใช้งานได้ที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง > มืด
หน้าจอ True Tone
หน้าจอของ iPad Air (5th Gen) จะรองรับโหมด True Tone ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นปรับเปลี่ยนหน้าจอด้วยการลดแสงสีฟ้า และความสว่างตามสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และเป็นการปรับเปลี่ยนให้แบบอัตโนมัติ โดยเข้าไปเปิดใช้งานได้ที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง > True Tone
Memoji
Memoji บน iPadOS 15 ก็จะคล้ายๆ iOS 15 ซึ่งมีให้เลือกปรับแต่งได้หลายหมายมากขึ้น และสามารถเลือกเสื้อผ้าให้กับตัว Memoji นอกจากนี้ยังสามารถนำ Memoji ไปใช้กับแอพฯ อื่นๆ ที่รองรับนอกจาก Mesenger ได้ด้วย
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
หน้าจอใหญ่กำลังดี 10.9 นิ้ว รองรับโหมด True Tone
เอาจริงๆ ส่วนตัวค่อนข้างชื่นชอบแท็บเล็ตที่มีขนาดหน้าจอ 10 นิ้วนิดๆ อยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าเป็นขนาดที่กำลังใช้งานได้ถนัด ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไป แถมยังมีตัวเครื่องที่กำลังจับใช้งานได้ถนัดด้วย โดย iPad Air (5th Gen) ก็ยังมีขนาดหน้าจอ 10.9 นิ้ว ซึ่งเท่ากับ iPad Air (4th Gen) และมีความละเอียดสูงถึง 2360x1640 พิกเซล รองรับโหมด True Tone และใช้รวมกับอุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil รุ่นที่ 2
ชิปเซ็ต Apple M1 + RAM 8GB รวดเร็วทำงานไว
iPad Air (5th Gen) มารอบนี้พกชิปเซ็ต Apple M1 มาด้วย แน่นอนว่าชื่อเสียงของชิปเซ็ต Apple M1 ค่อนข้างมาแรงตั้งแต่เปิดตัวในปี 2020 สำหรับ iPad Air (5th Gen) ที่ถูกขับเคลื่อนด้วย Apple M1 จะมีความแรงกว่ารุ่นก่อนถึง 60% เลยทีเดียว ภายในชิปประกอบไปด้วย CPU แบบ 8-Core, GPU แบบ 8-Core และฉลาดด้วย Apple Neural Engine แบบ 16-Core ทั้งนี้ยังเพิ่มความลื่นไปอีกขั้นด้วย RAM 8GB ซึ่งเป็นทาง Apple ได้เปิดเผยออกมาเอง หลังจากก่อนหน้าพวกเขาไม่ค่อยพูดถึงเรื่อง RAM เท่าไหร่
ทำงานก็ลื่นรวดเร็ว ความบันเทิงก็ดี รองรับ 5G
ความแรงของชิปเซ็ต Apple M1 ทำให้ iPad Air (5th Gen) ใช้ทำงานด้านกราฟฟิกได้ดี หรือจะเป็นงานตัดต่อก็มีการประมวลผล และเรนเดอร์ที่เร็วมากขึ้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแอพๆ ไปๆ มาๆ หรือใช้งานแบบ Multi Tasking ก็ใช้งานได้ลื่นๆ ไม่ติดขัด ส่วนด้านความบันเทิงก็ไม่มีปัญหาดูซีรี่ย์กันแบบสบายๆ และยังมีลำโพงคู่แบบ Stereo มาให้ด้วย ทั้งนี้เรื่องของเครือข่ายยังรองรับสัญญาณ 5G แต่ต้องเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular โดยรองรับทั้ง Nano SIM 1 ช่อง และ eSIM
เรื่องฝาหลังยวบ ยวบจริงแต่ไม่ใช่ปัญหา
ตามรีวิวของสื่อในต่างประเทศ ได้ระบุว่าฝาหลังของ iPad Air (5th Gen) มีอาการหลังยวบ ซึ่งอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อใช้นิ้วกดลงที่ฝาหลัง และรู้สึกว่าฝาหลังยุบลงไป เหมือนมีช่องวางระหว่างฝาหลัง กับฮาร์ดแวร์ด้านใน โดยล็อตที่วางขายในประเทศไทยก็มีอาการแบบนี้เช่นกัน แต่ส่วนตัวมองว่าดูไม่ค่อยเป็นปัญหากับการใช้งานเท่าไหร่ เพราะเวลาใช้งานคงไม่ได้มานั่งกดแบบนี้อยู่ตลาดเวลา และบางทีก็มีการใส่เคสเอาไว้ ทำให้ไม่รู้สึกถึงปัญหานี้
ทดสอบการเล่นเกม
การเล่นเกมแทบไม่ต้องเป็นห่วง ด้วยความารุนแรงของชิปเซ็ต Apple M1 ทำให้ดึงประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่ ปรับกราฟฟิกได้สูง และได้เฟรเรตที่นิ่งๆ โดยเกมอย่าง Genshin Impact ได้การแสดงผลที่น่าสนใจทีเดียว
Touch ID สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มเพาเวอร์
ระบบความปลอดภัยไบโอเมตริก ยังคงเป็นแบบสแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID แต่ที่สแกนลายนิ้วมือจะอยู่ที่ปุ่มเพาเวอร์ ต่างจาก Touch ID แบบเดิมที่จะอยู่ตรงปุ่มโฮม ส่วนการสแกนก็ถือว่ามีความรวดเร็ว นิ้วแตะก็ปลดล็อกตัวเครื่องเข้ามาสู่หน้าจอหลักได้ทันที
ใช้คู่กับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ตอบโจทย์การจด การวาดรูป
iPad Air (5th Gen) จะสนับสนุนการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ซึ่งสะดวกกับการใช้เป็นอย่างมาก โดยสามารถแตะเชื่อมต่อ หรือชาร์จแบตเตอรี่ได้ทันทีที่ข้างตัวเครื่อง ไม่เหมือนรุ่นก่อนที่ต้องเสียบชาร์จตรงพอร์ต USB Lightning ส่วนการใช้งานก็ให้สัมผัสเสมือนกับใช้ปากกา หรือดินสอจริงๆ ทั้งการวาดรูป และการจด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานเช่น แปลงตัวเขียน เป็นข้อความ Text และการลบข้อความด้วยการขีดฆ่า โดยไม่ต้องหาเครื่องมือยางลบมาลบ
อุปกรณ์เคส Magic Keyboard และ Smart Folio
นอกจาก Apple Pencil รุ่นที่ 2 อุปกรณ์เสริมอย่างเคส ช่วยให้ iPad Air (5th Gen) น่าใช้งานมากขึ้น ซึ่งมีทั้ง Magic Keyboard ที่เป็นเคสคีย์บอร์ด ให้ความรู้สึกพิมพ์งานเหมือนใช้แป้นพิมพ์ Macbook แถมยังมี TouchPad ไว้เป็น Cursor อีกด้วย (แต่ราคาแอบแพงพอสมควร โดยมีราคาอยู่ที่ 9,990 บาท) ต่อมาเป็นเคสฝาปิดจากทาง Apple เองเลย ซึ่งเป็น Smart Folio รองรับการทำงานแบบ Sleep และ Wake up หรือปิดฝาเพื่อพักหน้าจอ และเปิดฝาเพื่อเปิดใช้งานทันที นอกจากนี้ยังมีสีสันให้เลือกมากมาย
กล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูป iPad Air (5th Gen) จะเน้นไปที่กล้องหน้า โดยให้กล้องหน้า หรือกล้อง FaceTime HD ที่เป็นจุดขายของอุปกรณ์จาก Apple ในช่วงหลัง ซึ่งเป็นเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12MP มีระบบป้องกันการสั่นไหว และสามารถใช้งานฟีเจอร์ Center Stage ได้ ส่วนกล้องหลังเป็นเลนส์ Wide ความละเอียด 12MP ได้ความฉลาดของชิปเซ็ต Apple M1 ช่วยในการใช้ HDR อัจฉริยะ มีระบบออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels ทำให้โหกัสภาพอัตโนมัติได้อย่างยอดเยี่ยม และสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 4K
Center Stage
การวิดีโอคอลจะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ Center Stage โดยระบบจะมีการแพนกล้องให้อยู่ในเฟรมตลอดเวลาแบบอัตโนมัติ หากมีคนเข้ามาอยู่ในเฟรมมากๆ กล้องก็จะจัดทุกอย่างให้อยู่ตรงกลางแบบไม่ต้องทำอะไรเลย และหากมีคนออกจากเฟรม ระบบ Center Stage ก็จะจัดการซูมเข้า และจัดการตำแหน่งให้เหมาะสม ถือว่าเป็นอีกความสนุกของการวิดีโอคอล และไม่ได้รองรับแค่เพียงแอพฯ FaceTime เท่านั้น แอพฯ อื่นๆ อย่างเช่น Zoom ก็สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้เช่นกัน
การเซลฟี่
ด้วยกล้องหน้าที่เป็นเลนส์ Ultra-Wide ทำให้การถ่ายเซลฟี่จะรองรับโหมดมุมกว้าง ซึ่งช่วยให้เซลฟี่หมู่ หรือดูวิวต่างๆ ทางด้านหลังได้มากขึ้น ทั้งนี้ยังมีความละเอียด 12MP ภาพที่ออกมาก็ยังดูสวยงามใช้ได้
การถ่ายภาพจากกล้อง
กล้องหลัง iPad Air (5th Gen) อาจจะไม่ได้มีลูกเล่นอะไรเยอะ ซึ่งหลักๆ จะเป็นการกดชัตเตอร์เฉยๆ โดยมีระบบ HDR อัจฉริยะ และระบบออโต้โฟกัสแบบ Focus Pixel ทำงานให้แบบอัตโนมัติ ช่วยให้ภาพออกมาสวยขึ้น
แคตตาล็อกตัวเครื่อง iPad Air (5th Gen)
https://www.siamphone.com/spec/apple/ipad_air_(5th_generation).htm
จอ OLED 10-bit
1188 x 2790 พิกเซล
กล้องหน้า 16MP
Qualcomm Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core
Android 13
RAM 8 GB
ROM 256 GB
4,310 mAh
ชาร์จไว 33W
nubia Flip สมาร์ทโฟน หน้าจอ 6.9 นิ้ว Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core ราคา 19,990 บาท