Apple Watch Ultra คือสมาร์ทวอทช์พันธุ์แกร่งที่สุดของค่าย Apple ซึ่งค่อนข้างแปลกหน้าแปลกตาพอสมควร เพราะก่อนหน้า Apple Watch ปกติจะเน้นไปที่ความเพียวสวยงาม และใช้งานลุยๆ มากไม่ได้ แต่มารอบนี้จัดหนักสมชื่อ Ultra ด้วยการเพิ่มความแข็งแกร่ง ลุยได้แบบสมบุกสมบันมากขึ้น พร้อมผสมกับความพรีเมี่ยมอย่างลงตัว โดยได้ตัวเรือนแข็งแกร่งแบบไทเทเนียม มีแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนานขึ้น และไฮไลด์สำคัญอย่าง GPS ในตัว 2 คลื่น ทำให้ระบุตำแหน่งได้แม่นยำเป็นอย่างมาก ส่วนฟังก์ชั่นการใช้งานทั้งออกกำลังกาย และติดตามสุขภาพก็ยังมาครบตามสูตร แถมยังเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์กิจกรรมแบบลุยๆ มาเต็มที่

สั่งซื้อคลิก!

Lazada : https://shorturl.at/auEHR

Shopee : https://shope.ee/10XF5nleoE

ดีไซน์ตัวเรือนหนาขึ้น แต่แข็งแกร่ง
Apple Watch Ultra ถูกออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายลุยๆ โดยเฉพาะ สำหรับตัวเรือนใช้วัสดุแข็งแกร่งอย่าง ไทเทเนียม ซึ่งมีความแข็งแกร่งแต่ให้น้ำหนักที่เบา ทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี นอกจากนี้ยังใช้ผลึกแซฟไฟร์ที่แบนเรียบปกป้องบริเวณขอบ และหน้าปัด อย่างไรก็ตาม Apple Watch Ultra ยังผ่านการรับรองความแข็งแกร่งทางทหาร MIL-STD 810H มั่นใจได้ว่าสามารถลุยในระดับความสูง, อุณหภูมิ, การเปลี่ยนแปลง, การแช่แข็ง, การละลาย, การกระแทก ที่ผิดปกติทั้งหมด

ในเรื่องของขนาด Apple Watch Ultra จะมีความใหญ่ และหนากว่า Apple Watch รุ่นปกติ รวมไปถึง Apple Watch SE โดยมีขนาดหน้าปัดใหญ่ถึง 49 มิลลิเมตร ทำให้ผู้หญิงสวมใส่อาจจะดูใหญ่ไปพอสมควร

เม็ดมะยมยกสูงขึ้น และปุ่มด้านข้างใช้งานง่ายขึ้น
เม็ดมะยม และปุ่มการใช้งานข้างตัวเรือน ยังมีการออกแบบให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมสมบุกสมบัน โดยเม็ดมะยมมีการยกให้สูงขึ้น เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นแม้ว่าใส่ถุกมืออยู่ก็ตาม สำหรับปุ่มการใช้งานเสริมจะมีอยู่ 2 ปุ่ม อยู่ฝั่งซ้าย และฝั่งขวาอย่างละปุ่ม ส่วนการใช้งานแต่ละปุ่มดูตามด้านล่างได้เลย

  • เม็ดมะยม
    - กด 1 ครั้ง = เข้าหน้าแอพฯ ทั้งหมด, ย้อนกลับ
    - หมุน = เลื่อน, หากอยู่หน้าจอหลักจะหมุนเพื่อปรับเป็นหน้าจอโหมดกลางคืน
    - กดค้าง = เพื่อเรียกใช้งาน Siri

 

  • ปุ่มทางซ้าย
    - กด 1 ครั้ง = เรียกใช้งานแอพฯ หรือเครื่องมือที่ตั้งค่าไว้ (ปรับเปลี่ยนได้)
    - กดค้าง = เรียกใช้เครื่องมือฉุกเฉิน เช่น ไซเรน และโทร SOS เป็นต้น

 

  • ปุ่มขวา = ดูแอพฯ ที่ใช้งานก่อนหน้า หรือกดค้างเพื่อใช้เครื่องมือฉุกเฉิน

สายนาฬิกา 3 แบบพร้อมลุย
ในเมื่อเป็นสมาร์ทวอทช์สำหรับการลุยหนักๆ Apple Watch Ultra ก็มีสายรัดข้อมือให้เลือก 3 แบบ ประกอบไปด้วย Alpine Loop, Trail Loop และ Ocean Band ซึ่งแต่ละสายก็เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

  • Trail Loop = ใส่ออกกำลังกายเบาๆ สบายๆ
  • Alpine Loop = เหมาะสำหรับออกกำลังกายลุยๆ หนักๆ
  • Ocean Band = เหมาะกับการใส่ว่ายน้ำ หรือดำน้ำ

หน้าปัด Retina ความสว่างสุด 2,000nits
หน้าปัด Apple Watch Ultra มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตามตัวเรือน และเป็นหน้าปัดแบบแบนเรียบ สามารถแสดงข้อมูลการออกกำลังกาย หรือข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น หน้าจอยังรองรับการสัมผัส ซึ่งจากที่ทดลองสัมผัสก็มีการเคลื่อนไหวที่ลื่นมากทีเดียว ส่วนการแสดงผลก็ชัดเจน แถมปรับความสว่างได้สูงสุดถึง 2,000nits

ดีไซน์หน้าปัดนาฬิกา
ดีไซน์หน้าปัดก็ยังแจ่มเหมือนเดิม มีให้เลือกหลายหลาย พร้อมปรับแต่ง Widget บนหน้าจอหลักได้ ทั้งนี้ยังมีทั้งพื้นหลังแบบเคลื่อนไหว และนิ่ง รวมไปถึงนำเอาภาพ Portrait จากกล้อง iPhone มาเป็นพื้นหลังได้ โดยดีไซน์หน้าปัดรูปแบบต่างๆ สามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ในแอพฯ Watch บน iPhone ที่เชื่อมต่อ

 

 

หน้าปัดสีโหมดกลางคืน หมุนเม็ดมะยมเพื่อปรับสี
นี้คือลูกเล่นใหม่บนหน้าปัด Apple Watch Ultra เพราะสามารถปรับเป็นสีโหมดกลางคืนได้ ช่วยให้ใช้งานในตอนกลางคืนได้สะดวกมากขึ้น โดยการใช้งานเพียงหมุนเม็ดมะยม หน้าปัดก็จะเปลี่ยนสีให้เป็นสีแดง พื้นหลังสีดำ สามารถหมุนปรับระดับได้ตามต้องการ แต่จะใช้ได้กับดีไซน์ที่รองรับเท่านั้น ซึ่งในการทดสอบใช้กับดีไซน์หน้าปัดเริ่มต้น

WatchOS ลื่นขึ้น
WatchOS 9 คือระบบปฏิบัติการบน Apple Watch Ultra ซึ่งใครที่เคยใช้งาน Apple Watch มาก่อนก็สามารถใช้งานได้ไม่ยาก และตางรางรวมแอพฯ ที่เป็นแบบฟองน้ำสวยงามเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือระบบที่เร็วขึ้น และฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากขึ้น และให้ข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น

โหมดออกกำลังกาย ให้ข้อมูลที่มากขึ้น
ในการใช้งานร่วมกับโหมดออกกำลังกาย ก็ยังตอบโจทย์ได้ดีเช่นเคย โดย Apple Watch Ultra มีการติดตามการออกกำลังกายที่แม่นยำ พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกในระหว่างออกกำลังกายได้ดี เช่นการใช้งานในโหมดวิ่งกลางแจ้ง มีการบอกข้อมูลการเต้นของหัวใจว่าอยู่ระดับไหน หากอยู่ในโซนที่สูงแสดงว่ากำลังออกกำลังหายหนักเกินไป นอกจากนี้ยังมีบอกความเร็วในการวิ่ง การสัมผัสพื้น และพลังงานในการวิ่ง เป็นต้น ซึ่งข้อมูลทั้งหมดสามารถดูได้ในขณะออกกำลังกายเลย และมาดูย้อนหลังได้ด้วย ผ่านแอพฯ สุขภาพใน iPhone

 

 

ติดตั้ง GPS แบบ 2 คลื่นในตัว ระบุตำแหน่งแม่นยำขึ้น
การระบุตำแหน่งของ Apple Watch Ultra มีการอัปเกรดขึ้นมามาก เนื่องจากภายในมีการใช้ระบบ GPS แบบ 2 คลื่นคือ L1 และ L5 พร้อมกับการดีไซน์เสาอากาศแบบใหม่ ช่วยให้ทำงานได้กว้างขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น แน่นอนว่าการใช้งานระบบตำแหน่งมีความแม่นยำสูง ไม่ว้่จะอยู่ในสถานที่แบบไหน ตึกสูงเยอะ, ในป่า, บนเขา ก็ยังมีการระบุ และติดตามตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงการสร้างแผนที่การออกกลังกายก็ทำได้ดีเช่นกัน

กันน้ำที่ระดับความลึกสูงสุด 100 เมตร และกันฝุ่น IP6X
ต้องให้สมชื่อ Ultra ความอึดความทนก็ต้องแข็งแกร่งกว่ารุ่นปกติอยู่แล้ว โดย Apple Watch Ultra สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 100 เมตร และกันฝุ่นได้ดีจากมาตรฐาน IP6X ทำให้ใส่พร้อมกับว่ายน้ำได้สบายๆ ส่วนการใส่ดำน้ำในทะเล ก็สามารถใส่พร้อมดำลงไปได้ลึกถึง 40 เมตร โดยได้มาตรฐาน EN13319 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ Apple Watch Ultra ยังคงคอนเซปถึกทนลุยได้ทุกที่แบบหายห่วง

ดูความลึกในขณะดำน้ำได้ด้วย
สายดำน้ำน่าจะถูกใจกับฟังก์ชั่นนี้ เพราะในขณะดำน้ำก็สามารถเปิด Apple Watch Ultra ดูความลึกของน้ำได้ โดยใช้งานผ่านแอพฯ เพื่อดูความลึกของน้ำ และการวัดอุณหภูมิน้ำได้อย่างแม่นยำสูง เพราะข้างตัวเรือนมีรูเซนเซอร์สำหรับวัดความลึกของน้ำโดยเฉพาะ ทั้งนี้แอพฯ ยังทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ดำลงไปในน้ำ

เข็มทิศใช้งานแบบจัดเต็ม
การใช้งานเข็มทิศบน Apple Watch Ultra จะเป็นมากกว่าเข็มทิศที่ไว้ที่ทิศนำทาง เพราะแอพฯ เข็มทิศมีการเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ๆ และดูน่าใช้งานมากขึ้น โดยฟังก์ชั่นที่น่าสนใจคือการปักตำแหน่ง ซึ่งจะปักพิกัดแบบลองจิจูด และละติจูด เมื่อเดินไปที่อื่นไกลๆ ก็สามารถกลับมาตำแหน่งที่ปักไว้ได้อย่างแม่นยำ และสามารถปักได้หลายๆ ตำแหน่งอีกด้วย จากตรงนี้อาจจะเหมาะกับการเดินป่าอะไรแบบนี้ แต่ที่จริงแล้วเอามาใช้ในชีวิตประจำวันก็ได้ เช่นการปักหมุดในตำแหน่งที่จอดรถ ทำให้กลับมายังที่จอดได้ไม่ยาก

ฟังก์ชั่นติดตามสุขภาพก็มาครบ
ฟังก์ชั่นสุขภาพก็ยังมีให้ใช้แบบครบมือ ซึ่งหลักๆ จะเป็นการติดตามการนอนหลับแบบใหม่ ที่มีการบอกพฤติกรรมระหว่างนอนหลับได้ละเอียดมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นแจ้งเตือนอัตโมัติต่างๆ เช่น เตือนให้ลุกขยับหากมีการนั่งเป็นเวลานานๆ

  • วัดการเต้นของหัวใจ = เป็นฟังก์ชั่นที่อยู่คู่กับ Apple Watch มาอยู่ตลอด ซึ่งบน Apple Watch Ultra ก็ยังมีการทำงานอย่างแม่นยำ และมีการวัดรวมกับกิจกรรมอื่นๆ ตลอดเวลา เช่น ออกกำลังกาย เป็นต้น

  • ECG = ECG หรือการวัดความผิดปกติของหัวใจจากคลื่นแม่เหล็ก ตอนนี้ก็ใช้ในประเทศไทยได้อย่างสบายใจ เพราะเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้ว แต่บอกไว้ก่อนว่า ECG ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือทางการแพทย์โดยตรง และตรวจดูหัวใจล้มเหลวไม่ได้ ซึ่งหากมีความผิดปกติกับร่างกายต้องพบแพทย์อีกครั้งจะดีกว่า สำหรับ ECG ต้องเริ่มวัดด้วยตัวเอง ซึ่งทำตามขั้นตอนได้เลย

 

  • SpO2 = SpO2 คือการวัดออกซิเจนในเลือด ซึ่งระบบจะบอกเป็น % หากมีค่าที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ก็ควรไปพบแพทย์อีกครั้ง โดยโหมดนี้ผู้ใช้ต้องกดเริ่มวัดด้วยตัวเอง

  • ติดตามการนอนหลับ ละเอียดมากขึ้น = โหมดติดตามการนอนหลับ จะให้ข้อมูลเชิงลึกระหว่างนอนหลับมากขึ้น โดยมีการบอกพฤติกรรมการนอนในแต่ละช่วงเวลาทั้ง หลับลึก, หลับตื้น, หลับฝัน, และหลับจริง สามารถดูข้อมูลแบบละเอียดได้ในแอพฯ สุขภาพ

ตรวจจับด้านความปลอดภัย
ด้านความปลอดภัยก็ยังทำงานได้ดีมากขึ้น ด้วยระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีการแจ้งเตือนฉุกเฉินไปยังผู้ติดต่อที่ใส่ไว้ในแอพฯ สุขภาพ เช่น การล้ม, เกิดอุบัติเหตุรถชนรุนแรง โดย Apple Watch Ultra จะระบุตำแหน่งให้ผู้ติดต่อได้ทราบอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีปุ่ม SOS ฉุกเฉิน เพื่อติดต่อไปยังผู้ติดต่อฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ด้วยการกดปุ่มด้านข้างค้างไว้ และเลื่อนเมนู SOS

เปิดไซเรนขอความช่วยเหลือ ด้วยความดัง 86 เดซิเบล
Apple Watch Ultra สามารถเปิดเสียงไซเรน เพื่อแจ้งข้อความช่วยเหลือได้ด้วย โดยเสียงไซเรนมีความดังถึง 86 เดซิเบล หรือเสียงจะไกลไปถึง 180 เมตร การใช้งานไซเรนก็ไม่ยาก เพียงกดค้างที่ปุ่มทางซ้าย หรือทางขวา จากนั้นเลือกปัดที่หัวข้อไซเรน

รับสายโทรเข้าออก รับส่งข้อความ ฟังเพลง ดูแผนที่ ได้หมด
Apple Watch Ultra จะมีให้เลือกเพียงรุ่น Cellular ทำให้ใช้งาน e-SIM ได้ ซึ่งหากมีการเปิดใช้งาน e-SIM ก็สามารถรับสาย หรือโทรออกได้ทันที ทั้งนี้ในตัว Apple Watch Ultra ยังมีลำโพงคู่ และไมโครโฟนในตัว ทำให้การคุยสายถือว่าสะดวกพอสมควร นอกจากนี้ยังรับส่งข้อความ ฟังเพลง ดูแผนที่ได้หมด โดยไม่ต้องนำ Apple Watch Ultra ไปเชื่อมต่อกับ iPhone ตลอดเวลา  

ฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่น่าสนก็ยังมีการสั่งการด้วยเสียงผ่าน Siri เพียงกดเม็ดมะยมค้างไว้ ก็เป็นการเรียกใช้งาน Siri ทันที และการดาวน์โหลดแอพฯ อื่นๆ มาใช้งานก็ทำได้ง่ายๆ เพราะมี App Store รองรับในการดาวน์โหลดแอพฯ อื่นๆ มาใช้งาน

แบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานขึ้น
ด้วยตัวเครื่องที่ใหญ่ขึ้น Apple Watch Ultra จึงพกแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นมาด้วยได้ ทำให้การใช้งานต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งมากขึ้น ซึ่งจากที่ทดสอบใช้งานไม่หนักมาก ก็ใช้งานได้เต็มๆ 2 วัน แบบยังเหลือแบตเตอรี่ 20% แต่ในอนาคตทาง Apple จะมีอัปเดตโหมดประหยัดพลังงาน ทำให้ใช้งานได้มากสุดถึง 60 ชั่วโมง

สรุป
Apple Watch Ultra ตอนนี้ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย โดยมีให้เลือกสีเดียวคือ สีเทา ขนาดตัวเรือน 49 มิลลิเมตร และเป็น GPS+Cellular เท่านั้น พร้อมกับตัวเลือกสาย 3 แบบ Trail Loop, Alpine Loop, และ Ocean Band สนนราคาอยู่ที่ 31,900 บาท สามารถจับจองได้แล้วผ่านทาง Apple Online Store หรือลิ้งค์ที่อยู่ตามนี้ https://www.apple.com/th/shop/buy-watch/apple-watch-ultra

อ่าน

แบ่งปันบทความ

ข้อมูลนาฬิกา

รีวิวโดย: ปิตุภูมิ นันทวิทยา ภาพโดย: สิรภพ ผิวทอง
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2565

VIEWS

แบ่งปันบทความ

สินค้าออนไลน์

ขึ้นด้านบน