แม้ว่า iPad Pro M1 จะให้ผู้ใช้งานได้พบกับความแรงของแท็บเล็ตชิปเซ็ต Apple M1 แต่เหมือนทาง Apple ยังไม่หน่ำใจ ขออัปเกรดความแรงให้มากขึ้น ด้วยการส่งชิปเซ็ต Apple M2 จับลงไปใส่ iPad Pro M2 แท็บเล็ตตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามอาจจะดูไม่มีอะไรอัปเดตจากรุ่นเก่ามากนัก จะเน้นที่ความแรงของ Apple M2 เป็นหลัก และมีฟีเจอร์ใหม่จากการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่น 2 ที่ชื่อว่า Apple Pencil Hover ส่วนรายละเอียดอื่นๆ แทบจะเหมือนกับ iPad Pro M1 โดยมีให้เลือก 2 ขนาดเช่นเดิมคือ รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว และรุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้ว (Liquid Retina XDR) โดยรุ่นที่ได้มารีวิวจะเป็นหน้าจอ 11 นิ้ว
Shopee : https://shope.ee/1LA5St55ze
iPad Pro M2 (11 นิ้ว) มีดีไซน์แบบ iPad โฉมใหม่ที่รอบตัวเครื่องเป็นแบบขอบเรียบ ส่วนขนาดรอบตัวเครื่องจะอยู่ที่ 247.6x178.5x5.9 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 466 กรัม (Wi-Fi) และ 468 กรัม (Wi-Fi+Cellular) ซึ่งจะมีขนาด และน้ำหนัก น้อยกว่า iPad Pro M2 (12.9 นิ้ว)
หน้าจอแสดงผล Liquid Retina พาแนล IPS-LCD กว้าง 11 นิ้ว ความละเอียด 2388x1668 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 264ppi ขอบเขตสีกว้าง P3 และสนับสนุน ProMotion 120Hz นอกจากนี้ยังมีการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และลดการสะท้อนแสง
เหนือหน้าจอแสดงผล มีกล้องหน้า Ultra-Wide ความละเอียด 12MP พร้อมกับแผงเซนเซอร์ FaceID
ล่างหน้าจอแสดงผล ไม่มีปุ่มการใช้งานใดๆ และปุ่มโฮมถูกนำออกไปตามเดิม
ข้างซ้ายตัวเครื่อง มีเพียงช่องไมโครโฟน
ข้างขวาตัวเครื่อง 2 ปุ่มบนสุดเป็นปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง ตรงกลางเป็นแถบแม่เหล็กสำหรับติดชาร์จ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และล่างสุดเป็นถาดซิมแบบ Nano SIM
ส่วนบนตัวเครื่อง ขวาสุดเป็นปุ่มเพาวเวอร์ ตรงกลางเป็นรูไมโครโฟน 3 ตัว และข้างซ้ายขวาเป็นลำโพงเสียง
ส่วนใต้ตัวเครื่อง ทางซ้าย และขวาเป็นลำโพงเสียง ส่วนตรงกลางเป็นพอร์ต USB Type-C แบบ Thunderbolt
ฝาหลังจะพบกับกล้องหลังที่มุมบนซ้าย เป็นโมดูลแบบสี่เหลี่ยม ในนั้นมีกล้องหลัง 2 ตัว ประกอบไปด้วยกล้อง Wide ความละเอียด 12MP และ Ultra-Wide ความละเอียด 10MP นอกจากนี้ยังมีสแกนเนอร์ LiDAR รวมไปถึงไฟแฟลช และไมโครโฟนอีก 1 ตัว
ถัดลงมาตรงกลางมีโลโก้ Apple ถัดลงมาด้านล่างมีการเขียนคำว่า iPad Pro และล่างสุดเป็นวงกลมแม่เหล็ก 3 วง สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม Smart Connector
อุปกรณ์ภายในกล่อง
ชิปเซ็ต Apple M2 ทำงานหนักๆ ได้เร็วขึ้น
ชิปเซ็ตที่นำมาใช้ใน iPad Pro M2 จะเป็นตัวแรงที่สุดในขณะนี้ ซึ่งเคยนำไปใน Macbook Pro และตอนนี้ก็ถึงเวลาของ iPad ได้สัมผัสความแรงนี้บ้าง หากอิงตามที่ Apple ได้เคลมเอาไว้ CPU แบบ 8-Core จะมีความเร็วขึ้น 15% ด้านกราฟฟิก GPU มีความเร็วขึ้น 35% และยังมี Neutal Engine ที่เร็วขึ้นถึง 40% เมื่อทำไปเปรียบเทียบกับชิปเซ็ตรุ่นที่แล้วอย่าง Apple M1 ถือว่า iPad Pro M2 สามารถใช้งานหนักๆ แบบจัดเต็มได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ 3D ใช้งานสร้างโมเดล AR เล่นเกมในกราฟฟิกสูงๆ ภาพสวยๆ พร้อมได้เฟรมเรตที่สูงแบบนิ่งๆ
ทดสอบทำงานตัดต่อ เรนเดอร์งาน
จากที่ลองทำการตัดต่อแบบพื้นฐาน การทำงานก็มีความลื่นแบบประทับใจสุดๆ ซึ่งการเลื่อนดู Footage หรือการ Render ก็ออกมารวดเร็ว สามารถดูผลลัพธ์ได้แบบทันที แทบไม่ต้องรอการประมวลผลเลย เอาจริงๆ สำหรับชิปเซ็ต Apple M2 การทำงานตัดต่อ เรนเดอร์ภาพหนักๆ กว่านี้ ก็น่าจะให้การประมวลผลที่เร็วแบบโดยใจขาทำงานอย่างนอน นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบ ProRes พร้อมนำมาใส่ในโปรแกรมตัดต่อได้ทันที แต่ iPad Pro M2 ไม่สามารถใช้แอพฯ กล้องของตัวเองถ่ายได้ ต้องหาแอพฯ อื่นมาทำการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes เอง
หน้าจอแสดงผล Liquid Retina
ด้วยรุ่นที่ได้มารีวิวเป็น iPad Pro M2 หน้าจอ 11 นิ้ว สเปคจะถูกตัดลงมาจากรุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้ว โดยเป็นเพียง Liquid Retina เท่านั้น แต่จากที่ลองใช้งานก็ถือว่าไม่ได้แย่กว่าขนาดนั้น ซึ่งมีความละเอียด 2388x1668 พิกเซล ขอบเขตสีกว้าง P3 ปรับความสว่างได้สูงสุด 600nits ที่สำคัญมีการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และกันแสงสะท้อน พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 อีกด้วย
ยังรองรับเทคโนโลยี ProMotion 120Hz
ถึงจะเป็นหน้าจอ Liquid Retina แต่ก็มาพร้อมเทคโนโลยี ProMotion ทำให้หน้าจอลื่นสูงสุดที่ระดับ 120Hz ช่วยในเรื่องการแสดงผลแบบไม่มีดีเลย์ อนิเมชั่นขยับได้ลื่นตา จะปัด จะรูด ก็ดุลื่นตาไปหมด ทั้งนี้เทคโนโลยี ProMotion ยังมีการปรับอัตรา Refresh Rate ให้แบบอัตโนมัติ ตามความเหมาะสมในการใช้งาน ช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงานได้มาก
FaceID ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า
iPad Pro M2 จะใช้ระบบความปลอดภัยไบโอเมตริกแบบ FaceID หรือการสแกนใบหน้า ซึ่งในแผงกล้องหน้า จะมีเซนเซอร์ TrueDepth ในการสแกนใบหน้า 3 มิติ และปลดล็อกเข้าใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการใช้งานจริงก็สะดวกทั้งการสแกนใบตอนกลางวัน และที่แสงน้อย ซึ่งในที่มืดสนิทก็ยังสแกนได้สบายๆ
ทดสอบการเล่นเกม
เรื่องของการเล่นเกมภาพสวยๆ ต้องการสเปคสูงๆ แทบไม่ต้องกังวล เมื่อเล่นบน iPad Pro M2 ด้วยการขับเคลื่อนจากชิปเซ็ตตัวแรงอย่าง Apple M2 ทำให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการทดสอบได้ใช้เกม Apex Legend Mobile สามารถปรับกราฟฟิกได้สูงสุดที่ Extreme HD และเฟรมเรตสูงสุด ซึ่งการเล่นจริงก็มีความลื่นเป็นอย่างมาก พร้อมกับทำเฟรมเรตได้ 60fps ตลอดเวลา ไม่ว่าสถานการณ์ไหน
ระบบเสียง 4 ลำโพง ดังสนั่นชัดแจ๋ว
ด้านระบบเสียง iPad Pro M2 ก็มีการติดตั้งลำโพงมาถึง 4 ตัว และไม่ใช่ลำโพงจะดังอย่างเดียวเท่านั้น ยังให้เสียงออกมาแบบมีมิติ เสียงดังฟังชัดแม้ว่าจะเปิดเสียงสุดหลอดก็ตาม ทั้งนี้ยังมีเสียงเบสที่กำลังดี ไม่ได้เป็นลำโพงแบบทั่วไป ที่ดังอย่างเดียว ไม่มีเอฟเฟคเบสออกมาด้วย
ได้พอร์ต USB Type-C Thunderbolt
iPad Pro M2 ยังมาพร้อมพอร์ต USB Type-C และไม่ใช่ Type-C ธรรมดาๆ เพราะเป็นแบบ Thunderbolt อีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้รับส่งไฟล์ หรือข้อมูลได้อย่างรวดเร็วถึง 40Gb/s หรือจะนำไปต่ออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ก็ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ยังรองรับการต่อหน้าจอมอนิเตอร์ ความละเอียดสูงสุดถึง 6K และใช้งานร่วมกับฟังก์ชั่น Stage Monitor แสดงแอพฯ ที่ต่างออกไปในแต่ละหน้าจอได้พร้อมกัน
รองรับ Apple Pencil รุ่น 2
การใช้งานร่วมกับ Apple Pencil จะรองรับ Apple Pencil รุ่น 2 ซึ่งมีการใช้งานที่ง่ายกว่ารุ่น 1 เพียงแปะชาร์จก็สามารถแปะที่แม่เหล็กข้างตัวเครื่องได้ทันที นอกจากนี้ยังมีโหมดการแตะ 2 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเป็นยางลบ สะดวกต่อการใช้งานสุดๆ
ฟีเจอร์ใหม่ Apple Pencil Hover
เฉพาะ iPad Pro M2 บนระบบปฏิบัติการ iPad OS 6.1 ขึ้นไปเท่านั้น ที่จะได้สัมผัสฟีเจอร์ Apple Pencil Hover ก่อนใคร โดย Apple Pencil Hover จะเข้ามาช่วยเพิ่มมิติการใช้งานให้กับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เพียงยกปลายดินสอขึ้น ให้ห่างจากหน้าจอเพียงเล็กน้อย ก็จะเห็นว่า Apple Pencil รุ่นที่ 2 กำลังเล็งตรงไหนของหน้าจอ (จะมีจุดบอก) ซึ่งช่วยให้การทำงานด้านกราฟฟิก เช่นวาดภาพมีความแม่นยำขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถดูพรีวิวก่อนทำการต่อเติมภาพอะไรต่อไป เช่นการผสมสี ก็สามารถใช้ Apple Pencil Hover ในการดูสีที่จะวาดต่อไปได้
อุปกรณ์เสริมเคส Magic Keyboard
เคสคีย์บอร์ด Magic Keyboard เป็นอุปกรณ์เสริมคู่ใจของ iPad Pro M2 ซึ่งจะเข้าช่วยให้ iPad Pro M2 มีความเป็น Macbook มากขึ้น เนื่องจากตัวเคส มีแป้นพิมพ์ที่ครบเครื่อง พร้อมแผงปุ่มฟังก์ชั่นอีก 14 ปุ่ม และยังมี TouchPad ให้ใช้งานด้านล่างอีก เรียกว่าใช้งาน iPad เหมือนกับใช้ Macbook ไปเลย ส่วนการเชื่อมต่อก็ง่ายมากๆ เพียงแปะ iPad Pro M2 ลงบนเคส ซึ่งตัวเคสจะมีแม่เหล็กเชื่อมต่อเข้ากับ Smart Connector ที่อยู่ฝาหลังตัวเครื่อง
การใช้งานกล้องถ่ายรูป
แท็บเล็ตทั่วๆไป เรื่องของกล้องถ่ายรูปอาจจะไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่กับ iPad Pro M2 เพราะกล้องจัดหนักขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยกล้องหน้าเป็น Ultra-Wide ความละเอียด 12MP รองรับฟีเตอร์ Center Stage ในขณะที่กล้องหลัง ติดตั้งมา 2 ตัว ประกอบไปด้วยกล้อง Wide ความละเอียด 12MP และกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 10MP ผสมโรงกับสแกนเนอร์ LiDAR ช่วยในเรื่องของ AR และยังมีการทำงานร่วมกับ ISP ช่วยในเรื่องออโต้โฟกัส เวลาถ่ายภาพนิ่ง หรือวิดีโอในที่แสงน้อย ส่วนการถ่ายวิดีโอก็บันทึกความละเอียดได้สูงสุด 4K ที่ 60fps
ตัวอย่างภาพกล้องหลัง
โหมดการใช้งานกล้องหลังจะมีไม่มาก โดยจะเน้นให้ถ่ายวิดีโอมากกว่า แต่การถ่ายภาพนิ่งก็ยังออกมาดูสวยงาม และสามารถถ่ายภาพในมุมกว้างได้อีกด้วย
ภาพตัวอย่างจากกล้องหน้า
กล้องหน้าที่เป็นเลนส์ Ultra-Wide จะเปิดมุมกว้างได้ 122 องศา ซึ่งจะเน้นให้ใช้งานในการวิดีโอคอลมากกว่า แต่การถ่ายเซลฟี่ก็ยังทำได้ดีเช่นกัน
โหมด Portrait
กล้องหน้าสามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วย ซึ่งมีให้เลือกเอฟเฟคแสงไฟเหมือนกับ ใน iPhone ซึ่งการเบลออกมาดีเกินคาด มีการเบลอพื้นหลังตัดกับส่วนหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม และยังทำใบหน้าออกมาได้โดดเด่น
รองรับการใช้งาน Center Stage
การใช้งาน Center Stage ก็สามารถใช้งานได้ปกติ ซึ่งการทำงานของ Center Stage คือจะให้คนที่อยู่ในเฟรมอยู่ตรงกลางตลอดแบบอัตโนมัติ แต่จะใช้ได้เฉพาะแอพฯ วิดีโอคอล เช่น FaceTime, Facebook Messenger, Google Meet, Zoom, Skype เป็นต้น ส่วนการบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้าจะไม่สามารถใช้งาน Center Stage ได้
สเปคของ iPad Pro M2
ระบบปฏิบัติการ
iPad Pro M2 จะรันบนระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด iPadOS 16 ซึ่งจะเน้นกับการทำงานได้ไหลลื่น ในระหว่างใช้งาน 2 แอพฯ หรือจะเป็นการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ รวมไปถึงระบบ SharePlay ที่จะแชร์ภาพ หรือเล่นเกมร่วมกับผู้อื่นได้สนุกขึ้น ส่วนการใช้งานอื่นๆ ใครที่เคยใช้งาน iPad มาก่อนก็ใช้งานได้ไม่ยาก และหากอัปเดตเป็น iPadOS 16.1 จะสามารถใช้งาน Apple Pencil Hover ได้ด้วย
หน้าจอหลัก
หน้าจอหลักยังคงเป็นตามแบบฉบับ iPad โดยมีแอพฯ ทั้งหมดรวมอยู่ในหน้าจอหลัก และหน้าสุดท้ายเป็นโฟลเดอร์รวมแอพฯ ที่แบ่งตามประเภท ส่วนด้านล่างก็ยังมี Dock ให้เปิดใช้งานแอพฯ หรือไว้แบ่งหน้าจอ นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่ง Wallpaper และ Widget ได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งหน้าจอกว้างๆ แบบนี้ ใส่ Widget ได้เยอะมาก
การแบ่งหน้าจอแสดงผล
การแบ่งหน้าจอแสดงผลจะมีให้เลือก 2 แบบคือ Split View และ Slide Over ซึ่งอย่างแรกจะเป็นการแบ่งหน้าจอ 2 ฝั่งซ้ายขวา และอย่างหลังคือการเอาอีกหน้าต่าง Pop-Up ซ้อนขึ้นมา ส่วนวิธีการแบ่งหน้าจอก็ง่ายๆ เพียงปัดเอา Dock ขึ้นมา และลากแอพฯ ที่ต้องการแบ่งออกไปวาง หรือจะกด 3 บนในส่วนบนสุดของแอพฯ ที่กำลังเปิด ก็จะมีเมนูเลือกการแบ่งหน้าจอขึ้นมา
เปิดใช้งาน True Tone และโหมดมืด
โหมด True Tone เป็นอีกโหมดสำคัญกับการใช้งาน iPad Pro M2 ซึ่งหน้าจอจะมีการเปลี่ยนสภาพให้เหมาะสมกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมต่างๆ ส่วนโหมดมืดจะเป็นการเปลี่ยนธีมให้เป็นสีดำ และตัวหนังสือสีขาว เพื่อความสะดวกในการใช้งานในที่แสงน้อย โดยการเปิดใช้งาน True Tone และโหมดมืด ต้องเข้าไปที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
สรุป iPad Pro M2
ใครที่เป็นสายจัดตัดต่อ ลุยทำงานหนักๆ แต่ต้องการความสะดวกในการพกพา ก็สามารถจัด iPad Pro M2 ไปได้เลย และถ้าต้องการหน้าจอแบบสุดๆ ไปด้วยก็ขอแนะนำจัด iPad Pro M2 12.9 นิ้ว ไปดีกว่า ซึ่งตอนนี้ iPad Pro M2 ทั้ง 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ก็มีวางขายอย่างเป็นทางการกับ Apple Store ประเทศไทย สามารถตามไปซื้อได้ตามลิ้งค์ตรงนี้ https://www.apple.com/th/shop/buy-ipad/ipad-pro โดยมีให้เลือก 2 คือ สีเงิน และสีสเปซเกรย์ พร้อมกับราคาเริ่มต้นที่ 32,900 บาท
iPad Pro M2 รุ่น 11 นิ้ว
iPad Pro M2 รุ่น 12.9 นิ้ว
ข้อมูลผู้ใช้ร่วมแสดงความเห็นกับ : iPad Pro M2
https://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=468170
แคตตาล็อกตัวเครื่อง iPad Pro M2
https://www.siamphone.com/spec/apple/ipad_pro_11_(2022).htm
พรีวิว Samsung Galaxy Z Flip 6 ครั้งแรกมือถือจอพับกันน้ำได้ Samsung เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy Z Flip 6 รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเฉดสีสไตล์มินิมอล สดใส เก๋ไก่ น่ารักเอามากๆ มี 4 เฉดสีใ...