Nothing Phone (1) เป็นสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ Nothing ซึ่งมี Carl Pei อดีตผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท OnePlus เป็น CEO อยู่ โดย Nothing Phone (1) เป็นสมาร์ทโฟนในระดับกลาง พร้อมดีไซน์แบบอินดี้ๆ ด้วยฝาหลังแบบมองทะลุ และใช้แสงไฟแบบ LED เป็นลวดลายในส่วนฝาหลัง มีลูกเล่นไฟกระพริบตามรูปแบบต่างๆ ของการใช้งาน ซึ่งทาง Nothing เรียกฟังก์ชั่นนี้ว่า Glyph Interface ตามจริง Nothing Phone (1) มีการเปิดตัว และวางขายมาแล้วซักระยะที่ dotlife : https://www.dotlife.store/nothing-phone.html จนมีข่าวลือต่างๆ นาๆ ว่า Nothing Phone (2) เตรียมจะเปิดตัวในปี 2023 แถมจะอัปเกรดเป็นสมาร์ทโฟนในระดับแรงขึ้น ทำให้การรีวิวในครั้งนี้ เป็นการบอกเล่าว่า ควรเปลี่ยนไปรุ่นต่อไป หรือใช้ต่อยาวๆ จะดีกว่า
Lazada : https://s.lazada.co.th/s.Q8v4h?cc
Shopee : https://shope.ee/6UsBZKMNBB
ขนาดรอบตัวเครื่องของ Nothing Phone (1) มีขนาดอยู่ที่ 159.2x75.8x8.3 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 193.5 กรัม ถือว่าเป็นขนาดกำลังดี ถือใช้งานได้สะดวก ทั้งนี้ขอบตัวเครื่องยังมีดีไซน์แบบขอบเรียบ แอบคล้ายๆ iPhone 14 Plus และมีการครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass ทั้งด้านหน้าด้านหลัง
หน้าจอแสดงผลสัมผัส ใช้พาแนล OLED กว้าง 6.55 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400x1080 พิกเซล) พิกเซลหนาแน่น 402ppi ปรับความสว่างได้สูงสุด 1200nits และอัตรา Refresh Rate สูงสุด 120Hz
เหนือหน้าจอแสดงผล ใช้ดีไซน์รอยแหว่งแบบจอเจาะรูอยู่ทางมุมบนซ้ายของหน้าจอ ในนั้นมีกล้องหน้า ความละเอียด 16MP และส่วนขอบหน้าจอด้านบนมีลำโพงเสียง
ล่างหน้าจอแสดงผล ไม่มีปุ่มใช้งานแบบฮาร์ดแวร์ โดยปุ่มนำทางจะมาในรูปแบบซอฟแวร์ และที่สแกนลายนิ้วมือก็อยู่ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผลเช่นกัน
ข้างซ้ายตัวเครื่อง มีปุ่มเพิ่มเสียง และลดเสียงอยู่
ข้างขวาตัวเครื่อง มีปุ่มใช้งายเพียงปุ่มเดียวคือ ปุ่มเพาเวอร์
ส่วนบนตัวเครื่องเป็นรูไมโครโฟน
ส่วนใต้ตัวเครื่อง ทางซ้ายเป็นช่องใส่ถาดซิมการ์ด โดยถาดรองรับ Nano SIM 2 ช่อง ถัดมาตรงกลางเป็นพอร์ต USB Type-C และขวาสุดเป็นลำโพงเสียง
ต่อกันที่ฝาหลัง ซึ่งเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้เลย โดยกล้องหลังจะอยู่มุมบนซ้าย 2 ตัว ประกอบไปด้วย กล้องหลัก ความละเอียด 50MP และกล้องมุมกว้าง ความละเอียด 50MP ในขณะที่ดีไซน์ฝาหลังเป็นแบบโปร่ง และมีลวดลายไฟ LED สีขาวที่เรียกว่า Glyph Interface
อุปกรณ์ภายในกล่อง
ดีไซน์ตัวเครื่องสวยไม่เหมือนใคร
Nothing Phone (1) จะออกแนวสมาร์ทโฟนแบบอินดี้ไม่เหมือนใคร ดูได้จากดีไซน์ฝาหลังที่เป็นแบบโปร่ง พร้อมใช้ลวดลายแบบแปลกๆ ใส่ไฟแจ้งเตือน LED ในฝาหลัง ภาพรวมยังดูพรีเมี่ยม ด้วยขอบตัวเครื่องแบบเรียบ แข็งแกร่งด้วยกระจก Gorilla Glass ครอบทับทั้งด้านหน้า และด้านหลัง แถมยังได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ IP53
การแจ้งเตือนแบบ Glyph Interface ด้วยไฟ LED
Glyph Interface เป็นการแจ้งเตือนแบบใหม่ ที่หาไม่ได้จากที่ไหนนอกจาก Nothing Phone (1) โดยเป็นการแจ้งเตือนแบบเงียบ ผ่านไฟ LED ทางด้านฝาหลัง สามารถไปปรับแต่งรูปแบบได้ที่ การตั้งค่า > Glyph Interface ในนั้นจะมีให้เลือกรูปแบบไฟ LED มากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงมีสายโทรเข้า มีการแจ้งเตือน และกำลังชาร์จแบตเตอรี่ ทั้งนี้สามารถเลือกความสว่างของแสงไฟ LED ได้ด้วย
หน้าจอ OLED อัตรา Refresh Rate 120Hz
หน้าจอแสดงผลเป็นอีกความโดดเด่นของ Nothing Phone (1) โดยเป็นหน้าจอแบบ Flat หรือแบบเรียบ ใช้พาแนล OLED กว้าง 6.55 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ความลึกสีสูงระดับ 10bits ปรับความสว่างได้สูงสุด 1200nits และรองรับคอนเทนด์ HDR10+ แน่นอนว่าสเปคระดับนี้สามารถดูคอนเทนด์สตรีมมิ่งต่างๆ ได้ไม่มีปัญหา ถือว่าสอบผ่าน และยังมีอัตรา Refresh Rate สูงถึง 120Hz เพิ่มความลื่นในการเคลื่อนไหวต่างๆ ของหน้าจอ แต่น่าเสียด้ายที่ไม่มีระบบปรับอัตโนมัติ หากต้องการเซฟแบตเตอรี่ ต้องปรับลงมาเป็น 60Hz ด้วยตัวเอง
ใช้งานแบบลื่นๆ ขุมพลัง Qualcomm Snapdragon 778G+
Nothing Phone (1) เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 778G+ รองรับสัญญาณ 5G แม้ว่าจะเป็นชิปเซ็ตระดับกลาง แต่ความแรงเอาเรื่องอยู่ โดยมีให้การทำงานร่วมกับระบบซอฟแวร์ได้ดี ดูไหลลื่นมากๆ กับการใช้งานพื้นฐานทั้งหมดเช่น สังคมออนไลน์ ดูวิดีโอสตรีมมิ่ง ตอบแชท เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี RAM ที่เป็นเทคโนโลยี LPDDR5 ผสมกับ ROM แบบ UFS 3.1 ทำให้การรับส่งข้อมูลรวดเร็ว
ทดสอบการเล่นเกม
การเล่นเกมบน Nothing Phone (1) ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 778G+ ถือว่าใช้เล่นเกมที่ต้องการสเปคสูงๆ ได้ดีในระดับกราฟฟิกเกือบสุด โดยการทดสอบได้ใช้เกม PUBG Mobile และ ROV เป็นเกมทดสอบ
ระบบเสียงลำโพงคู่ และไมโครโฟน 3 ตัว
ระบบเสียงก็อีดแน่นมาด้วยลำโพงคู่แบบ Stereo ซึ่งให้เสียงออกมีมิติ และสามารถเปิดดังสุดได้แบบเสียงที่ออกมาไม่แตก นอกจากนี้ยังมีไมโครโฟนรอบตัวเครื่อง 3 ตัว ช่วยให้บันทึกวิดีโอ หรือวิดีโอคอลได้สบาย
สแกนใบหน้า และสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
ระบบความปลอดภัยไบโอเมตริก ก็ขนมาให้ทั้ง 2 แบบคือ การสแกนใบหน้า และสแกนลายนิ้วมือ โดยอย่างหลังเป็นการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ สามารถจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ ส่วนการสแกนก็มีความรวดเร็วไม่มีปัญหา
แบตเตอรี่ 4,500mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W
ขนาดแบตเตอรี่ของ Nothing Phone (1) มีขนาด 4500mAh เป็นแบตเตอรี่ขนาดที่ใหญ่ในระดับหนึ่ง และเพียงพอต่อการใช้งานพื้นฐานตลอดทั้งวัน ส่วนการทดสอบได้เล่นเกม PUBG Mobile และ ROV เป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากแบตเตอรี่ 30% ลดลงมาเหลือ 13% ทางด้านการชาร์จเร็ว จะรองรับการชาร์จผ่านสาย PD3.0 กำลังไฟ 33W (ไม่มีอะแดปเตอร์แถมมาให้) และรองรับการชาร์จไร้สาย Q1 แบบ 15W สามารถแบ่งแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์อื่นได้
ทดสอบกล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปอาจจะดูธรรมดาๆ แต่เอาจริงค่อนข้างจัดเต็มพอสมควร โดยกล้องหลังติดตั้งมา 2 ตัว ประกอบไปด้วยกล้องหลัก เซนเซอร์ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว ความละเอียด 50MP กันสั่น OIS/EIS และกล้อง Ultra-Wide เซนเซอร์ Samsung JN1 ขนาด 1/2.76 นิ้ว ความละเอียด 50MP ในขณะที่กล้องหน้า มีความละเอียด 16MP เซนเซอร์ Sony IMX471 ขนาด 1/3.1 นิ้ว ส่วนการบันทึกวิดีโอทำได้สูงสุด 4K ที่ 30fps
สเปคของ Nothing Phone (1)
ระบบปฏิบัติการ
Nothing Phone (1) ใช้ระบบปฏิบัติการ Nothing OS บนพื้นฐาน Android 12 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เร็ว ฉลาด แบบคลีนๆ การใช้งานมีความลื่นเพราะทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ได้ดี พร้อมกับระบบ AI ที่ฉลาด เรียนรู้จากการใช้งานของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังการันตีอัปเดตลอดระยะเวลา 3 ปี และระบบความปลอดภัย 4 ปีเต็ม
หน้าจอหลัก
หน้าจอหลักดูคลีนมากๆ เพราะแทบไม่มีแอพฯ จากโรงงานมาให้เลย โดยแอพฯ ทั้งหมดจะอยู่ทั้งหน้าจอหลัก และมีถาดแอพฯ ส่วนถาดเครื่องมือด่วน และการแจ้งเตือนก็ดูน่าใช้งาน
โฟลเดอร์ใหญ่
ในส่วนหน้าจอหลัก สามารถปรับโฟลเเดอร์เป็นขนาดใหญ่ได้ ซึ่งช่วยให้เห็นแอพฯ ภายในโฟลเดอร์ได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ยังมีรูปแบบที่สวยงาม โดยเป็นวงกลมคล้ายๆ ฟองน้ำดูสดใสทีเดียว สามารถปรับเป็นโฟลเดอร์ขนาดใหญ่ได้ด้วยการกดค้างที่โฟลเดอร์ และเลือก ขยาย
สีรูปแบบ และธีมมืด
โทนสีบนไอคอน และธีม สามารถเลือกได้หลายรูปสี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีแบบพาสเทล ค่อนข้างให้ความเบาๆ และดูเรียบง่าย นอกจากนี้ยังรองรับธีมมืด ซึ่งจะเป็นการปรับธีมให้เป็นสีดำ และใช้ตัวหนังสือสีขาว ใช้งานง่ายในเวลากลางคืน ทั้งนี้ยังเป็นการประหยัดแบตเตอรี่ เพราะหน้าจอของ Nothing Phone (1) เป็นพาแนล OLED
ควบคุมรถ Tesla ผ่าน Nothing Phone (1)
Nothing Phone (1) ยังเป็นมือถือที่สามารถควบคุมรถ Tesla ได้ด้วย โดยก่อนเชื่อมต่อต้องเข้าใช้งานกับบัญชีของ Tesla สามารถเข้าไปเชื่อมต่อได้ที่ การตั้งค่า > ฟีเจอร์ทดลอง > เชื่อมต่อกับ Tesla
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
ทดสอบเซ็นเซอร์ด้วยโปรแกรม Android Sensor Box พบเซ็นเซอร์ดังนี้
สรุป Nothing Phone (1) ควรขยับหรือไม่ ?
ฟีเจอร์ และสเปคต่างๆ ที่ได้มาต้องบอกว่า Nothing Phone (1) ค่อนข้างครบเครื่อง สามารถใช้งานพื้นฐานได้ลื่นๆ และเล่นเกมได้ดีในระดับหนึ่ง แถมยังมาพร้อมหน้าจอสวย Refresh Rate ลื่น แบตเตอรี่เยอะ กล้องถ่ายรูปก็กำลังดี กับราคาเปิดตัว 18,900 บาท มองยังไงก็ยังไม่น่าเปลี่ยนสำหรับคนที่ซื้อไปแล้วก่อนหน้า ส่วนคนที่มองหาสมาร์ทโฟนกลางๆ ราคาไม่เกิน 20,000 บาท Nothing Phone (1) ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ส่วนเรื่องของ Nothing Phone (2) ที่มีข่าวลือว่าจะมีสเปคที่สูงขึ้น คาดว่าราคาก็น่าจะขยับขึ้นไปด้วย ใครที่งบถึง และต้องการความแรงที่มากกว่าเดิม ก็รอกันได้ไม่ผิดเช่นกัน และสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ Nothing Phone (1) สามารถไปหาจับจองกันได้ที่ dotlife : https://www.dotlife.store/nothing-phone.html
แคตตาล็อกตัวเครื่อง : Nothing Phone (1)
https://www.siamphone.com/spec/nothing/phone_(1).htm
พรีวิว Samsung Galaxy Z Flip 6 ครั้งแรกมือถือจอพับกันน้ำได้ Samsung เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy Z Flip 6 รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเฉดสีสไตล์มินิมอล สดใส เก๋ไก่ น่ารักเอามากๆ มี 4 เฉดสีใ...