สมาร์ทโฟน (Smartphone)  |   วันที่ : 14 ตุลาคม 2560

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

บทความก่อนเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับ [Discussion] อนาคตจะหมดยุคพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร เพราะถูกแทนที่ด้วย USB Type-C เหตุผลคืออะไร...? เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งปีดูเหมือนว่าก้าวข้ามผ่านพอร์ต Type-C สู่ยุคไร้สายแล้ว..

ปี 2017 โลกของสมาร์ทโฟนพัฒนาก้าวไกลอย่างก้าวกระโดด หลายคนคิดว่าน่าจะเดินมาถึงทางตันแล้ว ดูเหมือนว่ายังห่างกับประโยคนั้นมาก เพราะในที่สุดแล้วก็จะมีประเด็นที่ถูกหยิบยกมาต่อยอดได้อยู่ดี ยกตัวอย่างหน้าจออัตราส่วน 18:9 ย้อนกลับไปปีที่แล้วทุกแบรนด์ก็ต่างเน้นให้ความสำคัญเรื่องกล้องเดี๋ยวหน้าชัดหลังเบลอได้ดีขึ้นหรือเพิ่มลูกเล่นการถ่าย แต่วันเวลาล่วงเลยผ่านมาต้นปีอาจต้องขอบคุณซัมซุงและแอลจีที่เป็นผู้ปลุกกระแสอย่างแท้จริงทำให้การแสดงผลดังกล่าวเกิดความนิยมในเวลาอันรวดเร็ว และอีกสองไฮไลท์ของปีนี้ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือระบบยืนยันตัวตนและก็ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้น

 

แต่เมื่อ Google เผยโฉมสองสมาร์ทโฟน Pixel 2 & Pixel 2 XL นอกจากฟีเจอร์เด่นแล้วยังมีประเด็นเกี่ยวกับช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรที่ตัดออกไป พร้อมแสดงความเห็นว่าฟังก์ชั่นดังกล่าวจะไม่อยู่ในแผนทำสมาร์ทโฟนอีกต่อไป โดยแสดงความเห็นว่าก้าวสูอนาคตให้ผู้ใช้สัมผัสประสบการณ์เสียงที่มีคุณภาพ รวมถึงเปิดโลกสู่หน้าจอไร้ขอบอย่างแท้จริง แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะพอใจ แต่ว่าหากเราจะก้าวเดินต่อไปจึงต้องมองหาเทคโนโลยีสู่อนาคตและไม่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง (อาจสื่อความหมายว่าถ้ายังยึดติดก็จะก้าวตามคู่แข่งไม่ทัน)

 

ทำไมหลายแบรนด์จึงเลือกตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลเมตรออกไป

  • เป็นฟังก์ชั่นที่ทำได้หน้าที่เดียวคือการให้เสียงเพลง ซึ่งไม่มีประโยชน์อื่นใด
  • คุณภาพเสียงไม่เทียบเท่าการฟังผ่านพอร์ต Type-C เนื่องจากชิปเซ็ตในปัจจุบันมีฮาร์ดแวร์เสียง 
  • การถ่ายทอดเสียงผ่านอุปกรณ์ไร้สายทำได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • เปลืองพื้นที่ภายในหากไร้ช่องเสียบหูฟัง ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสามารถพัฒนาต่อยอดและไร้ข้อจำกัดมากขึ้น
  • อุปกรณ์เสริม USB Type-C หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ปัญหาราคาสูงเริ่มคลี่คลาย
  • เข้าสู่ยุคไร้สายอย่างแท้จริง

 

สำหรับประเด็นสุดท้ายถือว่าเป็นเรื่องที่ชวนติดตามไม่น้อยอย่างที่ทราบระบบ Wi-Fi กับ Bluetooth ต่างถูกพัฒนาควบคู่กับเทรนด์เทคโนโลยีของโลกใบนี้ด้วยเช่น ไม่ใช่เพียงแค่รองรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแล้วแต่ครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อตอบโจทย์ Internet of Things มากขึ้นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นระยะการเชื่อมต่อ ลดสัญญาณรบกวน รองรับการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ได้มากขึ้น แม้แต่ระบบความปลอดภัยมีประสิทธิภาพขึ้นด้วยเช่นกัน จึงอธิบายได้ว่าทุกอย่างถูกผสมโรงเพื่อรองรับเทรนด์ไร้สายอย่างแท้จริง 

ดังนั้นเมื่อทุกอย่างถูกตั้งบนความต้องการของโลกไร้สาย เมื่อยังมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. อยู่จึงถือว่ายังล้าหลังและไม่เกิดประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น เพราะตามที่บอกข้างต้นแค่ฟังเพลงแต่ไม่สามารถทำอะไรต่อยอดได้อีกเลย แล้วเทรนด์ไร้สายทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอย่างไร

1. หมดปัญหาเรื่องสายพันกัน : ไม่ว่าจะเป็นสายชาร์จแบตเตอรี่หรือหูฟังเชื่อว่าทุกคนต่างปวดหัว เพราะเก็บก็ลำบาก เก็บไม่ดีมีเสียหายใช้ไมไ่ด้เลย บางรายซื้อมาไม่ถึงสองสามวันพังแล้ว ดังนั้นเมื่อไร้สายก็ไม่ต้องเก็บสาย

2. ลดอุบัติเหตุ : หลายคนบอกว่าเกี่ยวอะไรกัน เคยประสบปัญหาสายของหูฟังไปเกี่ยวกับอะไรหรือไม่ เช่น เกี่ยวของตกแตกบ้างหรือเวลาขับรถยนต์เลือกใช้หูฟัง แต่พลาดพลั้งเวลาเอื้อมไปหยิบของอะไรก็ตามทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด

3. สัญญารบกวนน้อยลง คุณภาพเสียงดีขึ้น : เมื่อโลกเข้าสู่ยุคคอนเทนต์วิดีโอการฟังเสียงที่มีเอกลักษณ์ ไพเราะ และเข้าถึงห้วงอารมณ์ได้นั่นย่อมดีกว่าการฟังผ่านหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรกับข้อจำกัดการถ่ายทอดเสียงไม่เหมือนกับยุคไร้สายหรือผ่านพอร์ต USB Type-C

แต่ 3 ข้อข้างต้นเป็นเพียงปัจจัยส่งเสริมไม่ใช่ปัจจัยหลัก แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร

นอกจากปัจจัยเสริมที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นคือ ความสามารถต่างๆ ของอุปกรณ์เสริมจำพวกหูฟัง ยกตัวอย่าง Pixel Buds ที่มีความสามารถแปลภาษาได้มากถึง 40 ภาษา แต่ก็ต้องทำงานผ่านสมาร์ทโฟนอยู่ดีด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ ทว่าในอนาคตเราอาจไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อื่นเลยก็เป็นได้ แปลแบบเรียลไทม์จริงๆ

เช่น เมื่อนาย A พูดภาษาอังกฤษกับนาย B โดยทั้งสองไม่สามารถเข้าใจภาษาของแต่ละคนได้ ซึ่งเมื่อ A พูดบทสนทนาเสร็จหูฟังก็แปลทันทีอาจใช้เวลาพักหนึ่งแล้วค่อยแปลให้ฟัง เป็นต้น หลายคนอาจบอกว่าจะทำได้อย่างไร ส่วนตัวแล้วคงต้องพึ่งระบบ AI เพราะหากมองโลกตอนนี้เทคโนโลยีดังกล่าวได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ อุปกรณ์แล้ว กับแค่หูฟังทำไมจะเป็นไปไมไ่ด้ แต่โจทย์สำคัญที่ผู้ผลิตต้องแก้โซลูชั่นคือจะทำอย่างไรออกแบบเช่นใดกับข้อจำกัดเรื่องขนาด

 

เพราะฉะนั้นจึงสรุปสาเหตุที่หลายแบรนด์เริ่มตัดช่องหูฟังออกตามข้างต้น ก็เพื่อปูทางเข้าสู่ยุคไร้สายแบบแท้จริง อีกทั้งเป็นการเพิ่มฟีเจอร์แก่อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อกับสมาร์ทโฟนและที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเรียกได้ว่าต้องจับตาอีกปีสองปีข้างหน้าว่าจะมีเหล่า Gadget ใดที่น่าสนใจอีกบ้าง โดยฟังไร้สายที่มาพร้อมคุณสมบัติการแปลภาษาจะมากขึ้นตามเทรนด์โลก 

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

มือถือออกใหม่