www.siamphone.com
หมวดอื่นๆ (Other) | วันที่ : 14 มีนาคม 2559
หลังจากเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ บริษัทยักษ์ใหญ่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินธุรกิจด้านโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ที่เราเรียกกันว่าปุ่ม Reaction ที่ก็จะมีเพิ่มขึ้นอีก 5 แบบรวมของเก่าปุ่ม Like เป็น 6 แบบ แต่เราเคยสงสัยกันไหมว่าสาเหตุใดถึงเพิ่มเติมขึ้นมาเพียงเท่านี้ ทั้งๆ ที่ควรมีปุ่มดังกล่าวอาจจะเป็นสัก 10 - 15 แบบ ทว่ากลับมีเพียงแค่ 5 แบบเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรามาดูเหตุผลกันว่าทำไม.....?
สำหรับเหตุผลมาจากเว็บไซต์ Wired.com ที่มีบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำไม Facebook ถึงได้มีปุ่ม Reaction แค่ 5 แบบ..?
เริ่มแรกสาเหตุที่นาย Mark Zuckerberg (เจ้าของ Facebook) เริ่มลงมือทำโครงการดังกล่าวอย่างจริงจัง ก็เป็นเพราะว่ามีเสียงตอบกลับ (Feedback) จากผู้ใช้งานหลายๆ คนว่าควรจะมีอะไรที่สามารถสื่อความหมายมากกว่าแค่เพียงปุ่ม Like เพียงอย่างเดียว อีกทั้งในยุคที่การติดต่อสื่อสารเป็นมากกว่าการพูดคุย ด้วยเหตุที่ว่ามีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หลายคนก็จึงแสดงออกเป็นสัญลักษณ์รูปอิโมติคอนแทน เพื่อให้สามารถสื่อถึงความรู้สึกได้ตรงกับความคิดความต้องการของผู้พูด ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นายมาร์คตอบรับกระแสของเหล่า User ขึ้นมา
และอีกหนึ่งเหตุผลในปัจจุบัน User ส่วนใหญ่นิยมใช้งาน Facebook บนอุปกรณ์พกพาหรือที่เราเรียกกันว่าสมาร์ทโฟนเสียมากกว่าบนเครื่องคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าการพูดคุยด้วยระบบแชทของเฟชบุ๊คนั้นก็ยุ่งยากเล็กน้อยและต้องมาเสียเวลากับแป้นพิมพ์ของดีไวซ์ ยกตัวอย่างเช่น หากเราเจอโพสต์ใดโพสต์หนึ่งแต่ความรู้สึกของเราไม่ได้ต้องการ Like ทว่าต้องการบอกเป็นอย่างอื่นแทน ตัวเลือกก็คือไม่มีเลย นอกจากต้องพิมพ์ไปหาผู้โพสต์เพื่อแสดงความรู้สึกด้วยข้อความ หรืออิโมติคอนแทน แต่ว่ามันจะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถแสดงความรู้สึกที่เป็นมากกว่าการชอบได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งพาระบบการแชท
ดังนั้นแล้วด้วยสองเหตุผลข้างต้น จึงสามารถสรุปได้ว่า Facebook ต้องหาทางออกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของ User โดยท้ายที่สุดเกิดเป็นโปรเจคขึ้น ซึ่งผู้รับผิดชอบคือ Julie Zhuo (ผู้อำนวยการการออกแบบผลิตภัณฑ์) เล่าว่าเธอได้รับมอบหมายงานจากนาย Mark Zuckerberg สำหรับการออกแบบอิโมติคอนในการสื่อสารถึงความหมายของอารมณ์ได้ตรงกับเหล่า User มากที่สุด ทั้งต้องอยู่ในคอนเซ็ปต์ หรือจุดประสงค์การใช้งานที่สร้าง Facebook ขึ้นมาอีกด้วย
เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายของ Julie Zhuo และเหล่าลูกทีมไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะมองตามความเป็นจริงแล้ว เหล่าอารมณ์ความรู้สึกสามารถสื่อเป็นรูปแบบของอิโมติคอน ได้หลายร้อยหลายพันแบบ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าแต่ละคนมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไปตามปัจเจกบุคคล ดังนั้นแล้วทางออกคืออิโมติคอนใดละที่จะควรนำมาใช้....?
ดังนั้นทีมงานจึงตัดสินใจเข้าปรึกษาหารือกับนักจิตวิทยาสังคม นามว่า Dacher Keltner โดยเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย University of California Berkeley ซึ่งแต่ก่อนเขานั้น ก็เคยทำงานร่วมกับ Facebook ในการเป็นหนึ่งในทีมพัฒนาสติ๊กเกอร์ที่เราใช้กันอยู่ในช่องแชท พอมาถึงโครงการใหม่ก็แสดงความเห็นว่า เรื่องอารมณ์ของมนุษย์มีความซับซ้อนมาก ถ้าเอาให้ครอบคลุมพอ ที่จะสามารถใช้งานได้ต้องใช้อิโมติคอน 20 - 25 แบบแตกต่างกัน เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ตรงมากที่สุด
อย่างไรก็ตามพอได้คำตอบแล้ว Julie Zhuo และลูกทีมกลับมาหารือประชุมกัน แต่สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าอิโมติคอน 20 - 25 แบบนั้นมากเกินไป และดูไม่เป็นระเบียบเมื่อใช้งานจริง แล้วทางออกคือ ?
สำหรับทางออกคือ การนำสถิติมาหาข้อสรุป กล่าวคือมีการเก็บข้อมูลจากเหล่า User ว่าใช้งานอิโมติคอน, สติ๊กเกอร์ หรือข้อความสั้นๆ ลักษณะใดบ่อยมากที่สุด (most often) จากทั่วโลก (around the world) โดยผลลัพธ์ปรากฏว่าเป็นคำว่า "Love" และที่ตามมาก็คือ ความเศร้า, ความตลก และการช็อคต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นเมื่อทีมงานคิดว่าได้อิโมติคอนที่ดีที่สุดหรือจำเป็นจริงๆ ก็ได้นำมาทดสอบกับทีมงานของตัวเอง จนเหลือ 5 รูปแบบในที่สุด
คำถามต่อมาเมื่อได้อิโมติคอนที่ต้องการแล้ว ส่วนของการออกแบบหน้าตาละเป็นอย่างไร...?
โดยนาย Geoff Teehan หนึ่งในทีมงานของ Facebook กับตำแหน่งผู้อำนวยการการออกแบบก็ระบุว่าหน้าตาอิโมติคอนที่จะเกิดขึ้น ต้องมาจากสองเหตุผลหลัก 1. ความเป็นสากล (Universality) 2. การแสดงความคิด หรือเต็มไปด้วยความหมายที่ชัดเจนไม่คลุมเครือ (Expressivity) เพราะเราจะต้องมีการนำไปใช้ในวัฒนธรรมที่แตกต่างทั่วโลก ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนในการออกแบบ
โดยการออกแบบเหล่าทีมงานได้ทดสอบมาทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการแยกสีสันให้ต่างกัน, การเน้นความเข้มความอ่อนของเส้นหรือขอบ ไปจนถึงการค่อยๆ ไล่ปรับดีไซน์ให้ลงตัวมากที่สุด จนในที่สุดก็ลงตัว นอกจากนี้ถึงแม้จะคิดค้นพัฒนาอิโมติคอนเป็นผลสำเร็จแล้วแต่แน่นอนว่าต้องมีการต่อยอด ซึ่งได้มีการพูดคุยกันว่า จะมีการเพิ่มเสียงเข้าไปด้วย!!
โดย Keltner กล่าวว่าการเพิ่มเสียงเข้าไปในอิโมติคอน เป็นเครื่องหมายการแสดงออกว่า เราอยู่ในจุดที่สุดยอดในการแสดงอารมณ์ เพราะจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น หรือเข้าใจตรงกันให้มากขึ้นอีก ทว่าโปรเจคนี้กลับตกไปด้วยเหตุที่ว่าความพร้อมต่างๆ ยังไม่ลงตัว แต่เขา (Keltner) ระบุว่า "บางทีในอนาคตเราจะมาพร้อมฟีเจอร์ดังกล่าว"
จบลงแล้วสำหรับการคิดค้นพัฒนาอิโมติคอน โดยสรุปไว้ว่าอยู่ที่ 5 แบบ แต่รู้หรือไม่ว่าเดิมทีนั้นมี 6 แบบ (ไม่ใช่ปุ่ม Like) แต่คืออะไรมาหาคำตอบกัน...?
สำหรับอารมณ์ที่จะนำมาใช้คือ "yay" โดยจะเป็นอิโมติคอนที่สื่อสารถึงความสุข (Happy) แต่เมื่อใช้งานจริงๆ แล้วกลับพบว่าอิโมติคอนดังกล่าว ไม่สามารถสื่อถึงเจตนารมณ์ได้อย่างชัดเจน มีความทับซ้อนทางอารมณ์กับอิโมติคอน "Love" และ "haha" ส่งผลให้ถูกตัดทิ้งออกไปในที่สุด
สุดท้ายเมื่อได้อิโมติคอนทั้งหมดแล้ว การนำไปใช้งานจริงละ จะถูกจัดวางไว้ตรงไหนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Useful)....?
โดยการทดสอบก็เกิดขึ้นทันที ซึง่มีทั้งผู้ทดสอบภายในทีมไปจนถึงกลุ่มตัวอย่าง แต่ก็พบว่าในหลายๆ เส้นทางไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจนมาลงเอยที่แบบเดิม คือการวางไว้ใต้โพสต์เหมือนกับปุ่ม Like แต่ถ้าต้องการแสดงความคิดเห็นทางด้านอารมณ์ในรูปแบบอื่น ก็สามารถกดค้างไว้สักแปป เพื่อให้ปุ่มอิโมติคอนแบบอื่นปรากฏให้เห็น
และพวกเขาก็พบทางสายกลาง (Middle Road) อีกอย่างคือ ตั้งใจให้ทุกทุกโพสต์ที่มีการแสดงความคิดเห็นของอิโมติคอนมากที่สุดใน 3 กลุ่มจะปรากฏขึ้นเพื่อช่วยผู้อ่านว่าในโพสต์ๆ นั้นมีการแสดงออกทางอารมณ์ใดมากที่สุด เสมือนบ่งบอกว่าคนอื่นอยู่ภาวะอารมณ์แบบใดทั้งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นต่อการแสดงอารมณ์ในโพสต์นั้นๆ
และก็จบลงแล้วนะครับ ถึงสาเหตุของทำไมปุ่ม Reaction ของ Facebook ถึงมีเพียงแค่ 6 แบบ ทั้งๆ ที่ควรจะมากกว่านี้...? อย่างไรก็ตามในอนาคต เราอาจจะต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีปุ่มอิโมติคอนใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และที่สำคัญคือตอนนี้ CEO วัยหนุ่มยังเอาจริงจังในเรื่องของแว่น VR เพราะฉะนั้นไม่แน่บางที อาจมีการนำมาประยุกต์ใช้กับ Facebook เพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป กว่าการใช้บนแค่เพียงสมาร์ทโฟน หรือเครื่องคอมพิวเตอร์
วันที่ : 14 มีนาคม 2559
NEW MG4 ELECTRIC ขึ้นแท่นรถอีวียอดนิยมในประเทศไทย10 ชั่วโมงที่แล้ว
vivo Y18e มือถือราคาประหยัดรุ่นใหม่ล่าสุด รอลุ้นเข้าไทยในราคาไม่เกิน 4,000 บาท12 ชั่วโมงที่แล้ว
ASUS ส่ง Vivobook S 14 และ S 16 OLED ปรับโฉมใหม่รุ่นล่าสุด พร้อมวางจำหน่าย18 ชั่วโมงที่แล้ว
รวมข่าวลือ iPad Air 2024 (Gen 6th) เพิ่มทางเลือกหน้าจอ 12.9 นิ้ว เร็วแรงขึ้นด้วยชิป M24 พ.ค. 67 16:41
Apple ลั่นกลองประกาศกิจกรรม 7 พ.ค. 2024 คาดส่ง iPad รุ่นใหม่ อาจเห็น Apple Pencil รุ่น 3 มาด้วย4 พ.ค. 67 16:32
เลือกอะไรดี! OPPO A60 vs realme 12x 5G ราคา 5,999 บาทเท่ากัน แตกต่างกันอย่างไร
คุ้มไหมที่จะซื้อ? Samsung Galaxy Tab S6 Lite (2024) แท็บเล็ตโทรได้ ลำโพง Dolby ATMOS แบตฯ เยอะ
รวมข่าวลือ iPad Air 2024 (Gen 6th) เพิ่มทางเลือกหน้าจอ 12.9 นิ้ว เร็วแรงขึ้นด้วยชิป M2
realme P1 และ realme P1 Pro หน้าจอ AMOLED-120Hz กล้องหลัง 50MP ชาร์จเร็ว 45W