หากใครกำลังมองหาของขวัญให้ตัวเอง หรือคนใกล้ตัว เชื่อว่า iPhone 16 Series คงเป็นของขวัญที่ถูกใจใครหลายคนอย่างแน่นอน ซึ่งมีทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 16, iPhone 16 Plus, iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max โดยรีวิวนี้จะเจาะจงเฉพาะรุ่น iPhone 16 Pro เท่านั้น พร้อมช่วยคลายข้อสงสัยว่า ถ้าจะซื้อ ควรซื้อแค่รุ่น iPhone 16 Plus หรือจัดเต็ม iPhone 16 Pro ไปเลย ด้วยราคาที่ต่างกัน 5,000 บาท เทียบกับโมเดลความจุ 128GB
งานประกอบละเอียด ใช้วัสดุพรีเมียม แข็งแรงทนทาน
สำหรับ iPhone 16 Pro ใช้วัสดุตัวเครื่องไทเทเนียมเป็นเกรดเดียวที่ใช่ในอุตสาหกรรมอากาศยาน แม้จะไม่ใช่เพียวๆ แต่ก็ดีกว่าโลหะทั่วไป ซึ่งจะมีความแข็งแรงทนทาน น้ำหนักเบากว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา ตัวเครื่องมีพื้นผิวที่ผ่านการปัดละเอียดจนสวยเงางาม ขอบเครื่องโค้งมนใหม่และขอบจอที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมาทำให้ iPhone รุ่นนี้ถือได้สบายมือยิ่งขึ้น
ดีไซน์ภายนอกแข็งแกร่ง ภายในก็ใส่ใจรายละเอียด
นอกจากนี้ปรับปรุงดีไซน์
หน้าจอคุณภาพสูง ตอบโจทย์ทุกคอนเทนต์
หน้าจอ Super Retina XDR สุดล้ำพร้อม ProMotion อัตรารีเฟรชเรทได้ถึง 120Hz เมื่อคุณต้องการประสิทธิภาพกราฟิกแบบเน้นๆ และปรับลดลงเพื่อประหยัดพลังงานในเวลาที่ไม่จำเป็น รวมถึงมีฟีเจอร์ Alway ON Display ด้วย โดยหน้าจอมีการครอบทับกระจก Ceramic Shield ที่แข็งแรงกว่ากระจกไหนๆ บนสมาร์ทโฟน ที่สำคัญมีขอบหน้าจอที่บางที่สุดทั้งในกลุ่ม iPhone และกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น
เรนเดอร์กราฟิกหนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น เกมปรับสุดแค่ไหนก็ไปได้ถึง
สำหรับ iPhone 16 Pro มีชิปเซ็ตประมวลผล A18Pro มาพร้อม CPU แบบ 6 คอร์ เน้นเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ประมวลผลด้วย 6 คอร์ มีแบนด์วิดท์มากขึ้น 20% จึงใช้เทคโนโลยีเรย์เทรซซิ่งหรือการจำลองธรรมชาติของแสง กราฟิกจึงลื่นไหลมากขึ้นในขณะที่แสงเงาสมจริงยิ่งขึ้น นี่แหละคือเรย์เทรซซิ่งที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน ทั้งมี MetalFX Upscaling รวมประสิทธิภาพของ GPU เข้ากับ Neural Engine แบบ 16 คอร์ เพื่อเนรมิตกราฟิกความละเอียดสูงในขณะที่ใช้พลังงานน้อยลงมาก
Apple Intelligence ที่จะทยอยอัปเดตให้ผู้ใช้งาน iPhone, iPad และ Mac เริ่มอัปเดตตามแพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ในเวอร์ชั่น iOS 18.1, iPadOS 18.1 และ macOS Sequoia 15.1 พร้อมทั้งจะทยอยเพิ่มฟีเจอร์ความสามารถใหม่ๆ ในการอัปเดตครั้งต่อๆ ไปด้วยเช่นกัน : สรุปฟีเจอร์ Apple Intelligence เริ่มใช้งานเดือนหน้า ยังไม่มีภาษาไทย iPhone 15 รุ่นไหนได้ใช้งาน ?
แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นไปอีก
iPhone 16 Pro มีความจุแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับชิปเซ็ต Apple A18 Pro ที่นอกจากมีประสิทธิภาพประมวลผลระดับสูงแล้ว ยังประหยัดแบตเตอรี่ด้วย ทำให้เมื่อรับชมคอนเทนต์วิดีโอ iPhone 16 Pro เล่นได้นานสูงสุด 27 ชั่วโมง นอกจากนี้ที่ชาร์จ
ถ่ายภาพได้อย่างใจนึกคิด ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก
ปุ่ม Camera Control จัดวางตำแหน่งด้านล่างขวาของเครื่อง ลักษณะปุ่มแบบสัมผัสและกดสำหรับการควบคุมเมนูกล้อง เมื่อกดปุ่มหนึ่งครั้งจะเปิดใช้งานแอปฯ กล้องถ่ายรูป ถ้ากดหนึ่งครั้งจะถ่ายรูป เมื่อใช้นิ้วเลื่อนบนปุ่มจะเรียกตัวควบคุมสำหรับการถ่ายรูป หรือเริ่มบันทึกวิดีโอเมื่ออยู่ในโหมดบันทึกวิดีโอ เช่น กดเบาๆ เพื่อเปิด
อุปกรณ์คุณภาพระดับสตูดิโอ ถ่ายช็อตไหนก็จึ้ง!
รอบตัวเครื่องมีไมโครโฟนคุณภาพ
กล้องจัดหนักจัดเต็ม สำหรับงานสร้างสรรค์ของมืออาชีพ
กล้องของรุ่น iPhone 16 Pro มีเซนเซอร์รับภาพประมวลผลรวดเร็วขึ้นสองเท่า ลดอัตราการหน่วงของชัดเตอร์จึงถ่ายภาพต่อเนื่องได้ไวยิ่งขึ้น ทันทุกเหตุการณ์ สามารถซูมภาพแบบออปติคัลได้ 5 เท่า ส่วนเลนส์อัลตร้าไวด์ความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 48 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายภาพแบบ ProRAW และ HEIF
ข้อมูลรายละเอียดกล้องหลัง
iPhone 16 Pro ต้องบอกว่าดีไซน์ไม่แตกต่างจากรุ่นอื่นในซีรีส์เดียวกันเลย หน้าตาเหมือนกัน แตกต่างที่หน้าจอขนาดใหญ่กว่า และจุดเด่นกับสเปคที่แตกต่างกันเท่านั้น มีขนาดตัวเครื่อง 149.6 x 71.5 x 8.25 มิลลิเมตร น้ำหนัก 199 กรัม พร้อม 4 เฉดสีให้เลือก ได้แก่ Black Titanium, Natural Titanium, White Titanium และ Desert Titanium
สำหรับรุ่นดังกล่าวใช้วัสดุไทเทเนียมเป็นเกรดเดียวที่ใช่ในอุตสาหกรรมอากาศยาน ทำให้มีความแข็งแรงทนทาน ด้านหน้าและด้านหลังครอบทับกระจก ทนต่อแรงขีดข่วน ช่วยเพิ่มความพรีเมียม มาพร้อมมาตรฐานป้องกันน้ำป้องกันฝุ่น IP68 ทนต่อแรงดันน้ำที่ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 นาที
หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR แบบ OLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด 2622 x 1206 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซล 460ppi ให้ความสว่างสูงสุด 1200 นิต ให้ความสว่างสูงสุด 1600 นิต และความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด
เหนือหน้าจอขึ้นไป มีเลนส์กล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 ออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels มีชุดเลนส์ทั้งหมด 6 ชิ้น และ Retina Flash มาพร้อมเหล่าเซนเซอร์ต่างๆ
ฝั่งซ้ายมีปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง, ปุ่มปรับเปลี่ยนการเปิดปิดเสียงเรียกเข้า และถาดใส่ซิมการ์ด ประเภท Nano โดยใส่ได้หนึ่งซิมการ์ด อีกหนึ่งซิมการ์ดจะเป็นประเภท E-SIM ด้านขวาตัวเครื่องมี Power สำหรับเปิดปิดเครื่อง และกดปุ่มเรียกใช้งาน Siri
ด้านล่างตัวเครื่องมี USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่และถ่ายโอนข้อมูล กับช่องลำโพ เทคโนโลยีความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่รองรับสูงสุด 20 วัตต์ โดยต้องซื้ออะแดปเตอร์แยก สามารถชาร์จจาก 0%-50% ในเวลา 30 นาที
ด้านหลังตัวเครื่องก็มีดีไซน์แบบเดิมเช่นกัน มาพร้อมกล้องเลนส์ทั้งหมดสามเลนส์ มีความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล โดยโมดูลกล้องไม่ได้มีการออกแบบใหม่ จะเป็นเหมือนรุ่นก่อนเลย
อย่างไรก็ตามด้านหลังตัวเครื่องออกแบบให้รองรับการใช้งานการชาร์จแบบ MagSafe ความเร็วสูงสุด 15 วัตต์ รวมถึงการชาร์จไร้สายทั่วไป (Qi) ความเร็วสูงสุด 7.5 วัตต์
สเปคเพิ่มเติมของ Apple iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max
ตามที่เกริ่นข้างต้น หลังจากทำความรู้จัก iPhone 16 Pro แล้ว ต้องบอกว่ามีจุดเด่นมากมายที่แตกต่างจากรุ่น iPhone 16 Plus ซึ่งถ้ามีกำลังจะจ่ายเพิ่ม แนะนำว่า ควรเลือก iPhone 16 Pro ไปเลย จะมีความคุ้มค่ากว่ามาก ไม่ว่าจะเป็น สรุปง่ายๆ ดังนี้....
ถ้าเทียบในข้อด้อยสำคัญระหว่างทั้งสองรุ่น น่าจะเป็นขนาดหน้าจอ เพราะ iPhone 16 Plus มีขนาด 6.7 นิ้ว ส่วน iPhone 16 Pro มีขนาดแค่ 6.3 นิ้ว ดังนั้นใครที่ชอบหน้าจอใหญ่ๆ คงต้องชั่งใจดูว่าจะยังไงดี แต่ถ้าตัดขนาดหน้าจอไปได้จัดรุ่น Pro โลด
OPPO Enco Air4 และ OPPO Pad 3 Pro คู่หูอุปกรณ์ IoT สุดล้ำที่พร้อมตอ...
ROG Phone 9 Series กับฟังก์ชัน AniMe Vision display และลูกเล่น AI เ...
Samsung Galaxy S25 Series สรุปข่าวลือล่าสุดก่อนเปิดตัวต้นปี 2025
OPPO Find X8 Series สมาร์ทโฟนแฟลกชิปพลัง AI ซูมไกล 120 เท่า ด้วย AI...
Redmi ฉลอง 11 ปี ปล่อยโลโก้ใหม่! พร้อมเปิดตัว Redmi K80 เรือธงสเปคจ...
พรีวิว Samsung Galaxy Z Flip 6 ครั้งแรกมือถือจอพับกันน้ำได้ Samsung เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy Z Flip 6 รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเฉดสีสไตล์มินิมอล สดใส เก๋ไก่ น่ารักเอามากๆ มี 4 เฉดสีใ...