สมาร์ทโฟน (Smartphone)  |   วันที่ : 21 มกราคม 2564

ปรับขนาดตัวอักษร - ก+ก

แชร์

ในปัจจุบัน Samsung ได้กลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รายใหญ่ในวงการไปแล้วอย่างไม่มีข้อกังขา โดยในแต่ละปีวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ Samsung นั้นคงจะหนีไม่พ้นสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S และในครั้งนี้จะขอนำทุกท่านกลับไปชมกันว่าสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S มีที่มาอย่างไร แล้วในปัจจุบันมีออกมาสู่ตลาดกี่รุ่นกันแล้ว

ประวัติ Samsung Galaxy กว่า 10 ปีที่ผ่านมา

  • Galaxy (i7500) (เปิดตัวปี 2009)
  • Galaxy S (i9000) (เปิดตัวปี 2010)
  • Galaxy S II (เปิดตัว 2011)
  • Galaxy S III (เปิดตัวปี 2012)
  • Galaxy S4 (เปิดตัวปี 2013)
  • Galaxy S5 (เปิดตัวปี 2014)
  • Galaxy S6 / S6 Edge (เปิดตัวปี 2015)
  • Galaxy S7 / S7 Edge (เปิดตัวปี 2016)
  • Galaxy S8 / S8 Plus (เปิดตัวปี 2017)
  • Galaxy S9 / S9 Plus (เปิดตัวปี 2018)
  • Galaxy S10e / S10 / S10 Plus (เปิดตัวปี 2019)
  • Galaxy S20 / S20 Plus / S20 Plus (เปิดตัวปี 2020)

ประวัติความเป็นมา

สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ได้ใช้ชื่อตระกูล Galaxy คือรุ่น "Samsung I7500 Galaxy" ที่ได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 และถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของค่ายที่รันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 1.5 (Cupcake) ซึ่งต่อมาทาง Samsung ยังคงพัฒนาสมาร์ทโฟนของตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy รุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy S ซึ่งในขณะนั้นทาง Samsung ได้วางการตลาดให้สมาร์ทโฟนในตระกูลนี้เป็นรุ่นเรือธงของค่าย และเป็นการรุกตลาดสมาร์ทโฟนอย่างเต็มตัวของทาง Samsung อีกด้วย โดยตัวอักษร "S" ที่ถูกนำมาใช้เรียกชื่อรุ่นของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า "Success" ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า "ความสำเร็จ"

ต่อมาทาง Samsung ยังคงไม่หยุดพัฒนาสมาร์ทโฟนของตัวเองให้ดีขึ้นพร้อมปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถือด้วยการเปิดตัว Samsung Galaxy S รุ่นแรกภายในปี 2010 ซึ่งรุ่นดังกล่าวนี้ถือเป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในระดับไฮเอนด์ ที่มีหน่วยประมวลผลความเร็ว 1GHz, RAM 512MB, หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 4 นิ้ว กล้องถ่ายรูป 5 ล้านพิกเซล อีกทั้งยังสามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงถึง 24 ล้านเครื่องทั่วโลก

ในปี 2011 Samsung ได้ปล่อยสมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอดความสำเร็จอย่าง Samsung Galaxy S II ออกสู่ตลาด พร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวและมีความบางเพียง 8.89 มิลลิเมตร อีกทั้งยังพัฒนาหน่วยประมวลผลให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยซีพียู Exynos 4210 (Dual-Core) ความเร็ว 1.2GHz พร้อม RAM 1GB หน้าจอ Super AMOLED Plus 4.3 นิ้ว กล้องถ่ายรูป 8 ล้านพิกเซล โดยสมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงถึง 40 ล้านเครื่องทั่วโลก

ปี 2012 Samsung ยังแสดงศักยภาพด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S III ที่มาพร้อมขุมพลังในการประมวลผล Exynos 4412 ที่มีแกนประมวลผลมากถึง 4 คอร์ (Quad-core) พร้อม RAM ขนาด 1GB และเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นเป็น 4.8 นิ้ว พร้อมความละเอียดในระดับ 720p ด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถทำยอดจำหน่ายได้มากกว่า 40 ล้านเครื่องทั่วโลก

ในปี 2013 ทาง Samsung ยังคงสร้างสรรค์สมาร์ทโฟนของตัวเองอย่างมุ่งมั่นพร้อมเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy S4 ที่ปรับดีไซน์ตัวเครื่องให้เพรียวบางลง (7.9 มิลลิเมตร)  ประมวลผลด้วยซีพียู Exynos 5 Octa 5410 ที่มีแกนประมวลผลมากขึ้นเป็น 8 แกน, เพิ่มขนาดหน้าจอแสดงผล Super AMOLED เป็น 5 นิ้ว พร้อมความละเอียดระดับ Full HD อีกทั้งยังได้พัฒนาเรื่องกล้องถ่ายรูปให้มากขึ้นเป็น 13 ล้านพิกเซล

ปี 2014 ทาง Samsung ได้นำเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S5 เป็นครั้งแรก พร้อมระบบสแกนนิ้วมือเพื่อรักษาความปลอดภัย และยังสามารถป้องกันฝุ่นและน้ำได้ตามมาตรฐาน IP67 สำหรับกล้องถ่ายรูปได้รับการพัฒนาให้มีความละเอียดที่สูงขึ้นเป็น 16 ล้านพิกเซล อีกทั้งได้รับการออกแบบตัวเครื่องให้มีความเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหรูหราด้วยฝาหลังพื้นผิวหนังสังเคราะห์ลายจุด (Stitched Leather)

ปี 2015 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy S อย่างแท้จริง โดยทาง Samsung ได้เปิดตัว Galaxy S6 และ S6 edge ด้วยการปรับดีไซน์แบบใหม่ทั้งหมด พร้อมเลือกใช้วัสดุกระจกและโลหะเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการผลิตตัวเครื่อง อีกทั้ง S6 edge ยังเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมหน้าจอขอบโค้งแบบ Dual Curved Edge Screen มาใช้ นอกเหนือจากนี้ทาง Samsung ได้พัฒนากล้องด้วยการนำเทคโนโลยีรูรับแสง F1.9 มาใช้งาน ทำให้ถ่ายภาพได้คมชัดยิ่งขึ้นแม้ในสภาวะแสงน้อย และทาง Samsung ส่งท้ายปี 2015 ด้วยการเปิดตัว Galaxy S6 edge+ สมาร์ทโฟนจอใหญ่ 5.7 นิ้ว พร้อม RAM ที่สูงถึง 4GB

ล่าสุดในปี 2016 ได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S รุ่นที่ 7 ในชื่อ Galaxy S7 และ S7 edge โดยคงเอกลักษณ์ด้านดีไซน์จากรุ่นก่อนหน้านี้ไว้อย่างครบถ้วน ผสานประสิทธิภาพการทำงานที่รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย CPU Exynos 8890 พร้อม RAM ขนาด 4GB แสดงผลได้อย่างคมชัดสมจริงบนหน้าจอ Super AMOLED ความละเอียดระดับ Quad HD และยังได้นำฟีเจอร์กันน้ำ-กันฝุ่นมาตรฐาน IP68 กลับมาใช้อีกครั้ง รวมถึงมีการนำเทคโนโลยี Dual Pixel มาใช้งานบนสมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรก พร้อมรูรับแสงกว้างที่สุดในขณะนี้ที่ F1.7

ส่วนปีต่อมา Samsung ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งกับสองสมาร์ทโฟน S8/S8+ ชูจุดเด่นเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ให้พรีเมียมยิ่งขึ้น พร้อมจุดเด่นที่อัดแน่นมากยิ่งขึ้น ไฮไลท์สำคัญคือผู้ช่วยส่วนตัวนามว่า Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะความท้าทายใหม่ของ Samsung : เราสามารถเรียกใช้งานผู้ช่วยได้ทั้งแบบกดปุ่มหรือแค่พูดว่า "Bixby" เริ่มต้นการทำงานทันที เบื้องต้นระบบ AI ดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นจึงใช้ได้ไม่กี่แอปฯ อาทิ แอพฯ ของ Samsung, การโทร, ข้อความ, การตั้งค่า, กล้อง, แจ้งเตือน, รายชื่อผู้ติดต่อ, คลังภาพ หากต้องการข้อมูลใดจากภาพผู้ช่วยเราก็จะทำการค้นหาทันที ทั้งสามารถอ่าน QR Code ได้โดยไม่พึ่งแอพฯ อื่นด้วย นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังเรียนรู้ปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

ต่อด้วย Samsung Galaxy S9/S9+ ยังคงเน้นเอกลักษณ์การเป็นซีรีย์ที่มีรูรับแสงกว้างที่สุดเช่นเคย โดยกว้างถึง f/1.5 แต่ทางแบรนด์ก็ใช้ซอฟต์แวร์ในการปรับแทน ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์เฉพาะ ซึ่งให้ความสว่างอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกันในสภาพแวดล้อมแสงน้อย พร้อมพัฒนาความคมชัดจากลำโพงสเตอริโอที่ปรับแต่งเสียงโดย AKG เสียงทรงพลังมากขึ้น 1.4 เท่า (เทียบรุ่นก่อน) และมีระบบเสียงรอบทิศทางสามมิติ Dolby Atmos เน้นความบันเทิงเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ก็มีเฉดสีตัวเครื่องที่มากขึ้นกว่าเดิม อาทิ Coral Blue, Lilac Purple, Polaris Blue, Midnight Black, Sunrise Gold, Titanium Gray และ Burgundy Red

ปี 2019 เปิดตัวด้วย Samsung Galaxy S10/S10+ ที่ทางซัมซุงยังคงความสุดยอดของซีรีย์นี้ได้เสมอพร้อมจุดเด่นการดีไซน์, สเปก, ฟีเจอร์การใช้งาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้ครบถ้วน น่าจับจองเป็นเจ้าของ หากอธิบายคงดูเยอะไป แต่สามารถดูด้วยภาพ เป็นอีกหนึ่งการนำเสนอของซัมซุงผ่านภาพอินโฟกราฟิก

เดินทางมาถึงปี 2020 หลายคนอาจยังสงสัยว่าเอ้าแล้วทำไมทาง Samsung จึงไม่ตั้งชื่อว่า Galaxy S11/S11+ แต่กระโดดไปถึง S20 นั่นก็เป็นเพราะว่า...

ตลอดระยะเวลาปี ค.ศ. 2009-2019 ก็รวมกัน 10 ปีแล้วที่ทางซัมซุงได้นำเสนอเทคโนโลยีกับนวัตกรรม ซึ่งพวกเขาต้องการหยุดความสำเร็จในอดีตไว้เพียงเท่านี้ แต่ต้องการเริ่มยุคสมัยใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน, เทรนด์แฟชั่น, ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีกับนวัตกรรมที่มีความแตกต่างจากในอดีตอย่างมาก อาทิ 5G, AI, Internet of Things เป็นต้น ผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างโลกภายนอกและโลกดิจิทัล ที่ทาง Samsung เตรียมจะนำเสนอต่อสาธารณชนต่อจากนี้อีก 10 ปีต่อจากนี้คือ 2020-2029 นั่นหมายความว่าชื่อรุ่นต่อจากนี้จะนับตามจำนวนปี

เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มีของชื่อ Samsung Galaxy S20/S20+/S20 Ultra หากใครสนใจสามทหารเสือนี้ก็สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย สยามโฟนได้รวบรวมไว้หมดแล้ว

ปี 2021 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างของ Samsung หากพูดถึงในแง่ของสมาร์ทโฟนแล้ว เป็นครั้งแรกที่ S-Series มาพร้อมปากกาสไตลัส S-Pen แต่มีเฉพาะรุ่น Galaxy S21 Ultra 5G เท่านั้น เลือกใช้งานได้ระหว่าง S-Pen กับ S-Pen Pro (ความแตกต่าง) โดยประสิทธิภาพมีการออกแบบดีไซน์ใหม่ให้ดูเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น  ด้วยการมีเท็กเจอร์ครอบทับโมดูลกล้องหลัง หลักๆ ในปีนี้จะเป็นการพัฒนาหน้าจอแสดงผล และการถ่ายภาพให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมตามสไตล์ S-Series นั่นเอง

ส่วนประเด็นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ การที่ทางซัมซุงตัดสินใจไม่แถมหัวชาร์จอะแดปเตอร์และชุดหูฟังแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อก่อนทางซัมซุงได้มีการแถมหูฟังของ AKG ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญเลย และต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว รวมถึงรุ่นต่อไปในอนาคตอีกด้วย ตามข่าวที่ว่า Samsung จะไม่แถมหัวชาร์จอะแดปเตอร์และหูฟังไปแล้วต่อจากนี้...

เป็นอย่างไรกันบ้างกับประวัติศาตร์ของ Samsung Galaxy S ก็เดินทางมาอย่างยาวนานถึง 11 ปีแล้ว ซึ่งก็น่าติดตามไม่น้อยเลยว่าปี 2021 จะมีอะไรให้ WOW อีกบ้าง และปีนี้จะมี Samsung Galaxy Note หรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

ติดตามข่าวสารมือถือได้ที่
www.facebook.com/siamphonedotcom

ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ

มือถือออกใหม่